แสนสิริ จับมือ กสิกรไทย จัดแคมเปญ “กู้เต็ม แมกซ์” คอนโดพร้อมอยู่ “บลอคส์ 77”


นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) พร้อมด้วยนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ขวา) ร่วมมือจัดแคมเปญ “กู้เต็มแมกซ์” เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ “บลอคส์ 77” ได้ง่ายขึ้น มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษด้วยการให้สินเชื่อ 100% และผ่อนเบาๆ ด้วยดอกเบี้ย0% พร้อมพบกับห้องตกแต่งใหม่หลากสไตล์ใน 14 ยูนิตพิเศษภายใต้คอนเซ็ปต์ “Blending Nature” ได้ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.นี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1685

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่23 สิงหาคม 2554

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กับธนาคารกสิกรไทย ร่วมมือจัดแคมเปญ “กู้เต็มแมกซ์” เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษด้วยการให้สินเชื่อ 100% และผ่อนเบาๆ ด้วยดอกเบี้ย0%

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยให้ลูกค้า i-KooL เล่นเน็ต 3G ฟรีได้ 3เท่า เพียงเติม data ผ่าน K-Mobile Banking PLUS


นายอาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ นายสุรช ล่ำซำ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่เติมเงิน Data i-KooL Real 3G (SIM Data) ราคา 100 บาท ผ่าน K-Mobile Banking PLUS (บริการธนาคารทางโทรศัพท์มือถือกสิกรไทย) รับเน็ต 3G เพิ่ม 3 เท่า จาก 250 MB เป็น 750 MB และเติม Data 100 บาท ครบ 3 ครั้ง รับบัตรกำนัล Big C มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันนี้ - 15 ก.ย. 54 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0 2888 8888 กด 03

ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2554

ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่เติมเงิน Data i-KooL Real 3G (SIM Data) ผ่าน K-Mobile Banking PLUS รับเน็ต 3G เพิ่ม 3 เท่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

KBank จับมือ AP เงินต้นปีแรก = 0 บาท


ธนาคารกสิกรไทยจับมือบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ 8 โครงการในเครือ AP ด้วยแคมเปญ “Key Privilege by AP” กุญแจแห่งเอกสิทธิ์สูงสุด 8 ข้อเสนอที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ เงินต้นปีแรก = 0 บาท หรือดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ซึ่งเป็นการช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก พร้อมข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ รวมมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-08-22/ee401ad0e09a92639bbd77b9eaae122a/ (22 สิงหาคม 2554)

ธนาคารกสิกรไทยจับมือบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ เงินต้นปีแรก = 0 บาท หรือดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ซึ่งเป็นการช่วย ลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยสนับสนุนรอยัล ปอร์ซเลน ส่งออก


นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมการ บริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามสนับสนุนทางการเงิน ประมาณ 350 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจผลิตเซรามิกชุดภาชนะบนโต๊ะอาหารเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ ณ โรงแรมเรเนซองส์ เมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-08-19/ff231776dc972c2cc51f475c93f1a92e/ (19 ส.ค. 2554)

ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามสนับสนุนทางการเงิน  เพื่อใช้ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจผลิตเซรามิกชุดภาชนะบนโต๊ะอาหารเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย ชวนมอบเพชรเป็นของขวัญวันแม่ พร้อมแบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน


นางวิจิตรา รัตนากร (ขวา) รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดบัตรเครดิต ธนาคารกสิกรไทย และนางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ร่วมเปิดตัวเพชรยูบิลลี่ ชุดพิเศษ “ฟลอรัล เอ็กซ์เซลเล็นซ์” (Floral Excellence) สุดยอดเครื่องประดับสำหรับเป็นของขวัญวันแม่ ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตกสิกรไทย แบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน พร้อมรับคะแนนสะสม 3 เท่า ตั้งแต่วันนี้-30 ก.ย. 54 โดยรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันจันทร์ 8 สิงหาคม 2554

สรุป ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับบริษัทยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ จำกัด เปิดตัวเพชรยูบิลลี่สำหรับเป็นของขวัญวันแม่ ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตกสิกรไทย แบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน พร้อมรับคะแนนสะสม 3 เท่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยออกเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด เพื่อธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ให้วงเงินสูงถึง 140 ล้าน

การค้าระหว่างประเทศเบ่งบาน กสิกรไทยโดดหนุน ออกสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ให้ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก มีเงินทุนหมุนเวียน และขยายธุรกิจครบวงจร ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 140 ล้านบาท ตั้งเป้าปล่อยกู้สิ้นปี 5,000 ล้านบาท
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยให้ความสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออกมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 5 เดือนแรก ธุรกิจเอสเอ็มอีมีการนำเข้าเพิ่ม 13% และมีการส่งออกเพิ่มถึง 17.26% ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความต้องการเงินทุนในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการมากขึ้น
ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทย จึงออกบริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ประกอบด้วย
วงเงินที่ใช้ผลิตสินค้าก่อนการส่งออก ได้แก่ วงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance Credit) วงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) รวมถึงวงเงินสินเชื่อเพื่อดำเนินธุรกิจภายในประเทศ ได้แก่ เงินกู้เพื่อการพาณิชย์ (Loan), วงเงินสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี (O/D), ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N), วงเงินหนังสือค้ำประกัน (L/I)
วงเงินที่ใช้หลังการส่งออก ได้แก่ วงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศหลังการส่งออก เช่นPacking Credit, Bill Discount สินเชื่อแฟคเตอริ่งกสิกรไทย (K-Factoring) ที่สามารถเปลี่ยน Invoice ลูกหนี้การค้าให้เป็นเงินสดได้ และบริการสินเชื่อเพื่อการขายลดเช็คกสิกรไทย (K-Cheque 2 Cash) ที่สามารถเปลี่ยนเช็คให้เป็นเงินสดได้ในทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจและช่วยบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด เป็นการนำผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อและบริการทางการเงินต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจการนำเข้า-ส่งออก และเงินทุนเพื่อดำเนินธุรกิจมารวมไว้ด้วยกันอย่างครบวงจร มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกมียอดขาย 50-400 ล้านบาทต่อปี โดยธนาคารฯ จะให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 140 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินไปบริหารกิจการ รวมถึงเสริมสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าปล่อยกู้สินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด สิ้นปีนี้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด ได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา และศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ K-BIZ Contact Center โทร. 02-888-8822
นายปกรณ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะกับกลุ่มประเทศในอาเซียน และคู่ค้าอื่น ๆ จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแนวโน้มของระบบการค้าใหม่ของโลก ซึ่งจะยิ่งช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ดังนั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรมองหาโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากตลาดส่งออกมีขนาดที่ใหญ่กว่าตลาดในประเทศมาก การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจะเป็นการขยายธุรกิจ และลดความเสี่ยงทางการตลาดได้มาก ในขณะที่ผู้นำเข้าก็มีโอกาสมองหาแหล่งวัตถุดิบและสินค้าที่มีต้นทุนที่เหมาะสมเพื่อนำมาทำการตลาดในประเทศได้ ดังนั้นการมีความพร้อมด้านเงินทุนและการจัดการจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน และสามารถแข่งขันกับตลาดนานาชาติได้
ที่มา :  http://www.newswit.com/fin/2011-08-09/97bbf07984c7c147538e206a78cc4e15/ (วันที่ 9 สิงหาคม 2554)
สรุป 
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยให้ความสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออกมากขึ้น  ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความต้องการเงินทุนในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการมากขึ้น  ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทย จึงออกบริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ประกอบด้วยวงเงินที่ใช้ผลิตสินค้าก่อนการส่งออก  และวงเงินที่ใช้หลังการส่งออก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

KBANK มองปัญหาสหรัฐไม่กระทบโดยตรงต่อไทย ตลาดเงิน-ตลาดทุนผันผวนราว 1 เดือน

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหรัฐขณะนี้ มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะมีเหตุการณ์ความผันผวนตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐที่มีต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกน่าจะคลี่คลายลงภายใน 1 เดือนข้างหน้า หลังจากเห็นความชัดเจน ทั้งนี้ มองว่าปัญหาในสหรัฐอาจทำให้มีการลดการถือครองสินทรัพย์เป็นรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลง โดยจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
"การที่ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง เนื่องมาจากความตื่นตระหนก ทำให้คนจิตใจวูบวาบ เพราะถือว่าเป็นการสะดุดครั้งใหญ่ของตลาดการเงินโลก เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้คนตื่นตระหนก เรื่องแบบนี้ต้องรออีกสักพัก ถึงจะเห็นความชัดเจน"นายบัณฑูร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาของสหรัฐอาจจะเกิดผลกระทบทางอ้อมต่อไทย ทั้งในแง่การค้าขาย ผลกระทบต่อค่าเงินบาท ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ ทำให้เงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น แต่ขณะนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังไมกระทบการส่งออก และยังไม่ถึงจุดที่เป็นประเด็นปัญหา ขณะที่อีกด้านหนึ่งเงินบาทแข็งค่ามีผลดีในแง่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อ เช่น ทำให้การนำเข้าน้ำมันถูกลง เป็นต้น
นายบัณฑูร กล่าวถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยว่า ไม่มีการตัดสินว่าเป็นเพศไหนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และขอให้คัดเลือกคนดีมาบริหารประเทศ ทุกคนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ

ที่มา : http://www.ryt9.com/  (จันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2554)  

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยปันผล3กองทุนหุ้นกว่า300ล้าน


บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผลกองทุนหุ้น 3 กอง กว่า 300 ล้านบาทโชว์ Dividend Yield สูงชนะตลาด แนะผู้ลงทุนถือกองปันผลรับผลตอบแทนระหว่างทาง
      นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 2.00 บาท ต่อหน่วย และ 1.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 สิงหาคม นี้
"ทั้ง 3 กองทุน ถือว่ามีผลการดำเนินงานที่โดนเด่นมาก ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล (Dividend Yield) โดยเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 3.45% ในขณะที่กองทุน RKF2 RKF4 และ K-VALUEมี Dividend Yield สูงถึง 15.40 % 12.94% และ 5.87% ตามลำดับ อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังมีประวัติการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับครั้งล่าสุดจ่ายปันผลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 โดยกองทุน RKF2 จ่ายปันผลมาแล้ว 20 ครั้ง รวม 15.94 บาท RKF4 จ่ายปันผลมาแล้ว 14 ครั้ง รวม 6.69 บาท และ K-VALUE จ่ายปันผลทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวม 6.67 บาท"
การที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือไม่มีความชำนาญเพียงพอที่จะจับจังหวะการขายคืนด้วยตนเอง ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร ดังนั้นหากลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ก็เท่ากับช่วยล็อกผลกำไรส่วนหนึ่งออกมาระหว่างทางที่ลงทุนนั่นเอง

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 3 สิงหาคม  2554 http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110803/403124/กสิกรไทยปันผล3กองทุนหุ้นกว่า300ล้าน.html

สรุปข่าว  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 2.00 บาท ต่อหน่วย และ 1.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 สิงหาคม นี้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยคาดยอดส่งออกรถยนต์ปีนี้8.9-9.3แสนคัน/ผลิตในปท.แตะ1.8ล้านคัน


            กสิกรไทยคาดยอดส่งออกรถยนต์ปีนี้8.9-9.3แสนคัน/ผลิตในปท.แตะ1.8ล้านคัน
      
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์"แม้ปัญหาชิ้นส่วนคลี่คลาย แต่ส่งออกรถปี 54 อาจขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยจากปี 53" ระบุว่า จากตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่า แม้การส่งออกในช่วงไตรมาสแรกจะขยายตัวร้อยละ 8.2 ตามทิศทางการขยายตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าหลัก

       ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 การส่งออกรถยนต์ของไทยต้องเผชิญกับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตรถยนต์ ทำให้ค่ายรถยนต์หลายค่ายต้องตัดสินใจลดกำลังการผลิตลง ส่งผลต่อรถยนต์ที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าที่ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้การส่งออกไตรมาสที่ 2 หดตัวสูงถึงร้อยละ 24.6 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกหลังจากขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตลอดช่วง 1 ปีกว่า
และแม้ว่าปัญหาชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงมากเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3 แต่การหดตัวอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 2
สถิติการส่งออกรถยนต์ที่ออกมาล่าสุดพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ไทยได้มีการส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศ 386,410 คัน หดตัวจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึงร้อยละ 7.6 (YoY) ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 ทำไว้ได้ 418,178 คัน โดยถ้าคิดเป็นรายเดือนแล้วจะยิ่งเห็นได้ชัดว่า เดือนที่การส่งออกรถยนต์ของไทยมีทิศทางหดตัวนั้น เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนและต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะการหดตัวที่รุนแรงถึงร้อยละ 48.5 ในเดือนพฤษภาคมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดส่งออกโดยรวมครึ่งปีแรกนั้นหดตัวลง

     ซึ่งสาเหตุสำคัญของการหดตัวคงจะหนีไม่พ้นปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนรวมกันสูงกว่าร้อยละ 90 ของการผลิตรถยนต์ในประเทศของไทย เป็นกลุ่มที่ได้รับกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งค่ายรถที่มีนโยบายการสต๊อกวัตถุดิบคงคลังน้อย และจำเป็นต้องพึ่งชิ้นส่วนสำคัญจากญี่ปุ่น เช่น ชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่หาทดแทนได้ยาก เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

alt

















อนึ่ง เมื่อพิจารณาจากสถิติมูลค่าการส่งออกที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้การส่งออกรถยนต์นั่งของไทยมีมูลค่า 3,185.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวลงร้อยละ 2.0 (YoY) ส่วนการส่งออกรถแวนและปิกอัพมีมูลค่า 2,451.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 (YoY)


โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกรถยนต์ส่วนใหญ่ไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักมีการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนอย่างต่อเนื่องเกือบตลอด และเริ่มมีทิศทางหดตัวตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่การผลิตรถยนต์ของไทยเริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน ซึ่งบางประเทศเริ่มมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังจากผู้ผลิตค่ายต่างๆเริ่มได้รับการส่งมอบชิ้นส่วนคืนสู่ระดับปกติ โดยตลาดที่ประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการขาดแคลนชิ้นส่วน และเริ่มฟื้นตัวกลับมาในเดือนมิถุนายน เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่ระดับขึ้นไปเท่ากับก่อนเหตุการณ์ภัยพิบัติ


มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
alt
การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
alt
















ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้การส่งออกรถยนต์ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศผู้นำเข้าหลักบางประเทศเองก็ประสบปัญหาภายในประเทศของตน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง เป็นต้น ซึ่งส่งผลทำให้ปริมาณการนำเข้ารถยนต์ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา


ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงและคาดว่าอาจจะส่งผลทำให้การส่งออกรถยนต์ในช่วงครึ่งหลังไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงไปมากแล้วก็ตาม โดยตลาดที่การส่งออกมีสัญญาณเริ่มเป็นปัญหามาตั้งแต่ก่อนหน้าเหตุการณ์ภัยพิบัติแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย และซาอุดิอาระบีย ทั้งนี้สืบเนื่องจากปัญหาภายในประเทศของแต่ละประเทศ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาจากภัยธรรมชาติ และปัญหาจากความวุ่นวายทางการเมือง เป็นต้น

มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว


alt














ที่มา: กระทรวงพาณิชย์

การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว

alt















ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

การส่งออกรถยนต์ครึ่งหลังไปบางตลาดอาจยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันอยู่

จากที่ได้กล่าวถึงในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ช่วงที่ผ่านมาการส่งออกหดตัวลง ซึ่งการที่ปัญหามีทิศทางที่คลี่คลายลงมากนี้ ย่อมจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการส่งออกในช่วงต่อจากนี้ไป ทว่า การส่งออกไปยังบางตลาดอาจยังต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันอยู่ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ปริมาณรถยนต์ส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับเท่ากับในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยกดดันเหล่านี้ได้แก่

• ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งกระทบต่อภาคการผลิต โดยเฉพาะเพื่อการส่งออก และการท่องเที่ยว ประกอบกับขณะนี้ทิศทางเฟ้อในหลายประเทศก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาก ประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าหลักของไทยก็ต้องประสบกับปัญหาดังกล่าว ทั้งจากปัญหาภัยธรรมชาติในประเทศ และการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยออสเตรเลียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดร้อยละ 1.75 ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ปี 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2553 และยืนระดับดอกเบี้ยดังกล่าวที่สูงถึงร้อยละ 4.75 จนถึงปัจจุบัน ทำให้กิจกรรมการผลิตและความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมาลดลง ทั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันทิศทางเศรษฐกิจในประเทศออสเตรเลียจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังอาจจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยจะไม่สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
• ผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์บางส่วนไปยังตะวันออกกลาง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศในแถบนั้น แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นและรักษาระดับสูงอยู่ แต่ความวุ่นวายดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตน้ำมันด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวที่ยังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้อีก ประกอบกับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยืดเยื้อ ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยในกลุ่มประเทศนี้ โดยเฉพาะ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาจได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยอาจไม่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ปัญหาชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงไปมากแล้วก็ตาม

นอกเหนือจากปัจจัยกดดันการส่งออกดังกล่าวแล้ว ฐานการส่งออกที่สูงในปีที่แล้วซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 59 (YoY) รวมถึงการที่ค่ายรถยนต์ต่างมุ่งรักษาฐานตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการขยายตัวสูงก่อน เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลทำให้การส่งออกรถยนต์ในช่วงครึ่งหลัง แม้จะมีปริมาณการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกพอสมควรจากกำลังการผลิตที่เริ่มฟื้นกลับคืนสู่ระดับปกติมากขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจทำให้การส่งออกรถยนต์ทั้งปี 54 ขยับขึ้นไปสู่ระดับที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 1 ล้านคัน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกช่วงครึ่งหลังของปี 2554 อาจทำได้สูงถึงประมาณ 505,000 ถึง 540,000 หรือขยายตัวขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรกที่ทำไว้ 386,410 คัน ถึงกว่าร้อยละ 30 ถึง 40 ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2554 นี้ การส่งออกรถยนต์ของไทยอาจทำได้ใกล้เคียงกับจำนวน 896,065 คัน ที่เคยทำไว้ในปี 2553 โดยมีจำนวน 890,000 ถึง 930,000 คัน หรือหดตัวร้อยละ 1 ถึงขยายตัวร้อยละ 4 (YoY)

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิมพ์ฐานเศรฐกิจ วันพุธที่ 03 สิงหาคม 2011 http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=77600&catid=176&Itemid=524



สรุปข่าว

ปัจจัยลบจากปัญหาในประเทศนำเข้ารถยนต์ของไทยบางประเทศที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาบางประการในประเทศตน ทำให้การนำเข้ารถยนต์ยังคงชะลอลง ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2554 ลดลงกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดไว้ในช่วงต้นปีว่ามีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านคันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
     การส่งออกรถยนต์ครึ่งแรกปี 54 หดตัวร้อยละ 7.6 จากผลกระทบปัญหาชิ้นส่วนเป็นหลัก
ปัจจัยลบจากปัญหาในประเทศนำเข้ารถยนต์ของไทยบางประเทศที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาบางประการในประเทศตน ทำให้การนำเข้ารถยนต์ยังคงชะลอลง ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2554 ลดลงกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดไว้ในช่วงต้นปีว่ามีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านคันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
- การส่งออกรถยนต์ครึ่งแรกปี 54 หดตัวร้อยละ 7.6 จากผลกระทบปัญหาชิ้นส่วนเป็นหลัก
- มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
- การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้น  
   ตัวสูง
- การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว
-  การส่งออกรถยนต์ครึ่งหลังไปบางตลาดอาจยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันอยู่
        การส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่สูงนัก แต่ก็คาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้มีโอกาสสูงที่จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.8 ล้านคัน ตามที่หลายฝ่ายมีการคาดการณ์กัน จากปริมาณยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามีโอกาสขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 10 ถึง 15 (YoY) หรือคิดเป็นจำนวน 880,000 ถึง 920,000 คัน เพิ่มขึ้นจากที่เคยทำได้ 800,357 คัน ในปีที่แล้ว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับความนิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ออกมา อย่างไรก็ตามตลาดในประเทศยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้อีกจากระดับปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่จะออกมาซึ่งอาจจะส่งผลกระทบได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบต่อตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ เช่น นโยบายเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตร นโยบายการปรับขึ้นเงินเดือน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขณะที่นโยบายรถยนต์คันแรก อาจจะทำให้เกิดการชะลอการซื้อรถได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย-กรุงเทพปล่อยกู้โซลาร์ต้า3.3พันลบ.สร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์



กสิกรไทย-กรุงเทพปล่อยกู้โซลาร์ต้า3.3พันลบ.สร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
กสิกรไทยร่วมกับแบงก์กรุงเทพ สนับสนุน โซลาร์ต้า สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก วงเงินกู้ 3,300 ล้านบาท บนพื้นที่ภาคกลางของประเทศใกล้จุดศูนย์กลางการขนส่ง จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ภายในสิ้นปี 2554 นี้

                     นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่เป็นแหล่งพลังงานยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมทั้งภาคเอกชนของไทยก็ให้ความสำคัญและเล็งเห็นประโยชน์ในการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้รับความสนใจจากอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด ธนาคารละ 1,650 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 3,300 ล้านบาท
    ด้านนายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยันฮี โซล่า เพาเวอร์ จำกัด และโรงพยาบาลยันฮี กล่าวว่า โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 8 โครงการ มีขนาดกำลังผลิตรวม 34.25 MW โดยมีบริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เป็นผู้พัฒนาและดำเนินโครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม โดยเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ด้วยเงินลงทุนกว่า 4,400 ล้านบาท ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไทรเสนา ขนาด 3 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดอยุธยาได้เดินเครื่องผลิตและขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แล้วเมื่อเมษายน 2554 ที่ผ่านมา ส่วนอีก 7 โครงการที่เหลือคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ภายในปีนี้
     นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นโครงการพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,000 ตันต่อปี แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลและลดการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 7,400 บาร์เรลต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดให้พลังงานทดแทนเป็นธุรกิจหลัก มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ได้ถึง 100 เมกะวัตต์ ในปี 2559 ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ และยังเป็นการกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาวให้แก่ประเทศอีกด้วย
     ทั้งนี้ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เป็นบ.ร่วมทุนที่มีผู้ถือหุ้นที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ โดยโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 8 โครงการดังกล่าวมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมากที่ใช้พลังงานทดแทนกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และได้รับเงินสนับสนุน (Adder) จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า จำนวน 8 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นเวลา 10 ปี

ภาพ: นายปรีดี ดาวฉาย (ขวาสุด) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย และนายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู (ซ้ายสุด) รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมแสดงความยินดีถึงความสำเร็จในการจัดสรรเงินกู้จำนวน 3,300 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด โดยมีนายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิ์วณิชชา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลยันฮี นายนพพล มิลินทจินดา (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และนายบุญชัย เลิศถาวรธรรม (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิมพ์ฐานธุรกิจ  วันพุธที่ 03 สิงหาคม 2011 http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=77595:-33&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524

สรุปข่าว  กสิกรไทยร่วมกับแบงก์กรุงเทพ สนับสนุน โซลาร์ต้า สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก วงเงินกู้ 3,300 ล้านบาท บนพื้นที่ภาคกลางของประเทศใกล้จุดศูนย์กลางการขนส่ง จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ภายในสิ้นปี 2554 นี้ปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่เป็นแหล่งพลังงานยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมทั้งภาคเอกชนของไทยก็ให้ความสำคัญและเล็งเห็นประโยชน์ในการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้รับความสนใจจากอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด ธนาคารละ 1,650 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 3,300 ล้านบาทโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นโครงการพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,000 ตันต่อปี แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลและลดการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 7,400 บาร์เรลต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดให้พลังงานทดแทนเป็นธุรกิจหลัก มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ได้ถึง 100 เมกะวัตต์ ในปี 2559 ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ และยังเป็นการกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาวให้แก่ประเทศอีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS