กสิกรฯ ผลึก ICBC ขยายธุรกิจไทย – จีน

ASTVผู้จัดการรายวัน- แบงค์กสิกรไทยจับมือ ICBC ร่วมธุรกิจภายใต้วงเงินสนับสนุน 8 พันล้าน เสริมศักยภาพให้ธุรกิจในเครือ ทั้ง ไอซีบีซี (ไทย) ธ.กสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น
                นายบัณฑูร  ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ลงนามสัญญาทางการเงินและความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกัน (Reciprocal Funding Line Agreement) ภายใต้วงเงินสนับสนุน 8,000 ล้านบาท กับธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (Industrial and Commercial Bank of China Limited) หรือ ICBC เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการทางการเงินของสองธนาคารพันธมิตรทั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีนและไทยในด้านความร่วมมือเพื่อสนับสนุนสินเชื่อสำหรับโครงการต่างๆ การปล่อยกู้ร่วมสำหรับโครงการขนาดใหญ่ การโอนและชำระเงินระหว่างประเทศ การแนะนำลูกค้าให้แก่กัน (Business Matching) การแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมในการบริหารธุรกิจระหว่างทั้งสองธนาคาร และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนการพัฒนาเพิ่มทักษะ และฝึกอบรมพนักงานระหว่างกัน อันจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจแก่ทั้งสองฝ่ายในอนาคต
                ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย จะนำวงเงิน reciprocal line ดังกล่าว เป็นเงินทุนสำหรับธนาคารกสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น เพื่อใช้ในการปล่อยกู้ธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศจีน โดยปีนี้ธนาคารฯ มีการตั้งเป้าปล่อยกู้จำนวน 1,200 ล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อในจีนที่มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากกว่า 42 ล้านราย  นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังวางแผนจะยกระดับสาขาเป็นธนาคารพาณิชย์ต่างชาติท้องถิ่น ภายในปี พ.ศ. 2556 ด้วย
สรุป
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด และธนาคาร ICBC (ไอซีบีซี) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินระหว่างกัน ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจแก่ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด ในประเทศไทย และธนาคารกสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น เพื่อรองรับการแข่งขันและการพัฒนาบริการทางการเงินของทั้ง 2 ธนาคาร เพราะปัจจุบันตลาดการเงินจีนมีขนาดใหญ่มากและมีโอกาสเติบโตสูง ในขณะที่อุปสงค์สินเชื่อในตลาดมีมากกว่าอุปทานที่ธนาคารพาณิชย์ในจีนจะสามารถให้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะธนาคารชั้นนำที่ชำนาญในเรื่องเอสเอ็มอีของประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดธนาคารพาณิชย์ในจีน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนและไทย

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์  “ผู้จัดการ (iBusiness)
                  ประจำ วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2554  ปีที่ 3  ฉบับที่ 841  (หน้าที่ 23)
ผู้รับผิดชอบ  นางสาวปาริฉัตร   นิลทะวงษ์    รหัส  52112804027

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยจับมือเครือ รพ.กรุงเทพ เปิดบัตรร่วมฯ ดูแลสุขภาพครบวงจร

กรุงเทพฯ--20 ก.ค. 2554--ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย พร้อมตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาท
นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักและใส่ใจในการรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้บริการดูแลด้านสุขภาพกับโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสุด ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เครือข่ายโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของไทย ออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพกาย แต่เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ และได้รับบริการทางการเงินที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งเป็นที่มาของบัตรเครดิตที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้รักสุขภาพ

ด้านนายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้นำเครือข่ายทางการแพทย์อันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยได้ขยายเครือข่ายรวม 17 สาขา ประกอบด้วยกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช** ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการแทบทุกภูมิภาคของไทย การร่วมมือกันทางธุรกิจสำหรับบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งหมายในการพัฒนาความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายที่จะได้รับจากการเป็นผู้ถือบัตร
สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยจะเป็นความร่วมมือในการให้บริการทางการแพทย์และการเงินที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับบริการคุณภาพทั้งการรักษาพยาบาลและการชำระเงิน โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า บัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย ภายใต้แนวคิด “ฝากสุขภาพคุณ...ให้เราดูแล” ได้รวบรวมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อาทิ รับส่วนลดเมื่อใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลฯ ทุกแห่ง พร้อมรับความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินคุ้มครองถึง 100,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 3,000 บาทต่อครั้งแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สิทธิพิเศษทางด้านการเงินจากธนาคารกสิกรไทย สำหรับบริการกู้สินเชื่อบ้านและบริการเงินฝาก รวมถึงสิทธิพิเศษจากร้านค้าพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน สปา ฟิตเนส ร้านอาหาร โรงแรม บริการรถเช่า
นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รสมถึงการจัดสิทธิประโยชน์ได้อย่างครอบคลุม ตรงกับความต้องการจะสามารถเพิ่มความไว้ใจและความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยธนาคารตั้งเป้าหมายของบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ–กสิกรไทยไว้ที่ 50,000 ใบ ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ และคาดหวังว่าจะขยายฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ใบในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าการใช้จ่ายประมาณ 16,000 ล้านบาท
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย ได้ที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ทั้ง 3 กลุ่มโรงพยาบาลและที่สาขาของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0-2888-8888 หรือที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719
วิเคราะห์ข่าว
ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย พร้อมตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาทโดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักในเรื่องสุขภาพมากขึ้น  ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยจะเป็นความร่วมมือในการให้บริการทางการแพทย์และการเงินที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับบริการคุณภาพทั้งการรักษาพยาบาลและการชำระเงิน โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน  
นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รสมถึงการจัดสิทธิประโยชน์ได้อย่างครอบคลุม ตรงกับความต้องการจะสามารถเพิ่มความไว้ใจและความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ที่มา http://www.newswit.com/fin/2011-07-20/517d0bce1664836414080cb8431b79bb/ ประจำวันที่ 20 ก.ค. 2554


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรฯ คาดดอกเบี้ยแตะ 3.75% ส่ง 2 กองตราสารหนี้เกาะกระแส

ASTV ผู้จัดการรายวัน – บลจ.กสิกรไทยคาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 รอบแตะ 3.75% พร้อมแนะลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ล่าสุดส่ง 2 กองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือน และ 1 ปี เอาใจลูกค้า ชูยิลด์ 3.2-3.8% ต่อปี เปิดขายตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กรกฎาคมนี้
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทคาดว่า กนง.อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25-0.50% หลังจากที่มีการปรับขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา จาก 3.00% เป็น 3.25% เพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน บริษัทจึงได้นำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุกองทุนทั้ง 3 เดือน และ 1 ปี โดยถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และปรับขึ้นเป็นช่วงๆ ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีจะปรับขึ้นไปยืนตามที่คาดการณ์กันไว้ที่ 3.50%-3.75% และและธนาคารต่างๆจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก แต่เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในช่วง 1 ปีแล้ว เชื่อว่าการลงทุนในกองทุนนี้ยังสามารถให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากประจำ
สำหรับกองทุนที่จะทำเปิดขายได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน เอเอฟ (KFl3MAF) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เจ (KFF1YJ) ที่จะทำการเปิดขายระหว่างวันที่ 19-25 กรกฎาคม นี้ โดยทั้ง 2 กองทุนที่จะเสนอขายประมาณการโอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.20% ต่อปี และ 3.80% ต่อปี ตามลำดับ คาดว่าจะรองรับเม็ดเงินถึง 20,000 ล้านบาท
สรุป
                เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน บริษัทจึงได้นำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุกองทุนทั้ง 3 เดือน และ 1 ปี โดยถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และปรับขึ้นเป็นช่วงๆ ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีจะปรับขึ้นไปยืนตามที่คาดการณ์กันไว้ที่ 3.50%-3.75%  นอกจากการลงทุนใน 2 กองทุนนี้แล้ว บริษัทยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้แจ้งความประสงค์ที่จะนำเงินลงทุนเริ่มต้นพร้อมผลตอบแทนเมื่อกองทุนครบอายุ ไปซื้อกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) โดยอัตโนมัติ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมภายใต้ความเสี่ยงต่ำ ในระหว่างพักเงินรอจังหวะลงทุนในกองทุนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์  “ผู้จัดการ (iBusiness)
                  ประจำ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554  ปีที่ 3  ฉบับที่ 834  (หน้าที่ 20)
ผู้รับผิดชอบ  นางสาวปาริฉัตร   นิลทะวงษ์    รหัส  52112804027

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยจับมือเครือ รพ.กรุงเทพ เปิดบัตรร่วมฯ ดูแลสุขภาพครบวงจร

ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย พร้อมตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาท
นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักและใส่ใจในการรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้บริการดูแลด้านสุขภาพกับโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสุด ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เครือข่ายโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของไทย ออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพกาย แต่เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ และได้รับบริการทางการเงินที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งเป็นที่มาของบัตรเครดิตที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้รักสุขภาพ
ด้านนายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้นำเครือข่ายทางการแพทย์อันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยได้ขยายเครือข่ายรวม 17 สาขา ประกอบด้วยกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช** ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการแทบทุกภูมิภาคของไทย การร่วมมือกันทางธุรกิจสำหรับบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งหมายในการพัฒนาความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายที่จะได้รับจากการเป็นผู้ถือบัตร
สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยจะเป็นความร่วมมือในการให้บริการทางการแพทย์และการเงินที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับบริการคุณภาพทั้งการรักษาพยาบาลและการชำระเงิน โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า บัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย ภายใต้แนวคิด ฝากสุขภาพคุณ...ให้เราดูแลได้รวบรวมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อาทิ รับส่วนลดเมื่อใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลฯ ทุกแห่ง พร้อมรับความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินคุ้มครองถึง 100,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 3,000 บาทต่อครั้งแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สิทธิพิเศษทางด้านการเงินจากธนาคารกสิกรไทย สำหรับบริการกู้สินเชื่อบ้านและบริการเงินฝาก รวมถึงสิทธิพิเศษจากร้านค้าพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน สปา ฟิตเนส ร้านอาหาร โรงแรม บริการรถเช่า

แหล่งที่มา www.Newswit.com ประจำวันที่ 20 ก.ค. 2554

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จี้รบ.ตอบโจทย์กินดีอยู่ดี ฝาก'ยิ่งลักษณ์'

    
     เสี่ยปั้นแนะรัฐบาลปู "ยิ่งลักษณ์"ตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจ-สังคม สร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชน เน้นความสำคัญด้านการศึกษา จวกเปลี่ยนรมว.ศึกษาฯบ่อยกว่าเปลี่ยนผ้าอนามัย ย้ำยังคงเป้าสินเชื่อ-แผนธุรกิจรอดูนโยบายรัฐ

 นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง " ขับประเทศไทย ภายใต้บริบท "เศรษฐกิจ สังคม ยุครัฐบาล"ว่า บุคคลใดจะเข้ามานั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่สำคัญเท่ากับการแก้ไขโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข และการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา เพราะที่ผ่านมาไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม ซึ่งมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยเหมือนเปลี่ยนผ้าอนามัย ทั้งนี้การศึกษาถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต หากประชาชนมีความรู้ก็จะสามารถช่วยเหลือตนเองในการประกอบอาชีพได้
 "การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญและตั้งความหวังมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าสามารถทำได้ โดยที่ผ่านมามีโครงการเรียนฟรีก็ถือว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ประชาชนมีการศึกษาขึ้นแต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด และวิธีที่ดีที่สุดคือควรให้การศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ทำให้คุณภาพการเรียนรู้เกิดขึ้นจริง และทำให้ประชาชนโดยรวมมีความรู้สามารถทำมาหากินในเวทีโลกได้"
 ขณะที่ประเด็นทางเศรษฐกิจก็ควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปพร้อมๆ กับการศึกษา เนื่องจาก หากระบบการศึกษาเดินหน้าเศรษฐกิจก็เดินหน้า ซึ่งถ้าเศรษฐกิจขยายตัวดีอยู่แล้วและประชาชนก็มีความรู้ความสามารถก็ยิ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น
 นายบัณฑูร กล่าวว่า การที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกนั้น ส่วนตัวแล้วเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เพราะผ่านกระบวนการ กติกา ทางด้านการเมืองมาแล้ว แต่ต่อจากนี้จะขึ้นอยู่กับการบริหารอำนาจที่ได้มาว่าจะทำอย่างไร ซึ่งต้องใช้อำนาจที่ได้มาทำให้ประชาชนทุกคน ทุกชนชั้นในประเทศไทยมีความสุข และความเจริญเกิดขึ้นให้ได้
 ส่วนนโยบายประชานิยมในภาพรวมนั้น ก็มีสูตรของความพอดีอยู่ในตัวเอง ต้องพิจารณาว่าเงินคงคลังถูกนำไปใช้อย่างสมดุลหรือไม่ ซึ่งนำไปสู่ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ แต่ตอนนี้นโยบายต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้
 ขณะที่โจทย์ทางด้านภาคการเงินนั้น หากโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจมีความมั่นคง เชื่อว่าภาคเอกชนในทุกธุรกิจทุกองค์กรจะสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจได้ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการเงินในภาพรวมอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกันหากโครงสร้างพื้นฐานอ่อนแอภาคเอกชนก็อ่อนแอตามไปด้วย
 อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัญหาทางการเมืองจะไม่มีทางจบสิ้น ยังคงเดินไปตามครรลองของการเมืองอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อจบปัญหาหนึ่งก็จะมีโจทย์ใหม่ให้เข้ามาแก้ไขอีก แต่โจทย์ที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือทำอย่างไรให้ประชาชนไทยมีอาชีพที่ยั่งยืน มีงานทำ มีเสถียรภาพด้านรายได้ อัตราเงินเฟ้อไม่สูง
 นอกจากนี้ นายบัณฑูร ยังได้กล่าวอีกว่า ในปีนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อและแผนธุรกิจเดิมไว้ โดยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้ที่ 7-9% ซึ่งเป็นการเติบโตของทุกกลุ่ม ทั้งสินเชื่อรายใหญ่ รายย่อย และเอสเอ็มอี ส่วนอนาคตจะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการดำเนินงานหรือไม่นั้นคงต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลก่อน
 ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่า คงเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีหน้าที่ดูแลรักษาเสถียรภาพเงินตรา ส่วนรัฐบาลก็มีหน้าที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 แหล่งที่มา    จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,651  10-13  กรกฎาคม พ.ศ. 2554  http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=74347:2011-07-11-01-59-26&catid=104:-financial-&Itemid=443 

    นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวกล่าวในงานสัมมนาเรื่อง " ขับประเทศไทย ภายใต้บริบท "เศรษฐกิจ สังคม ยุครัฐบาล"ว่า บุคคลใดจะเข้ามานั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่สำคัญเท่ากับการแก้ไขโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข และการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ทั้งนี้การศึกษาถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต หากประชาชนมีความรู้ก็จะสามารถช่วยเหลือตนเองในการประกอบอาชีพได้     ขณะที่ประเด็นทางเศรษฐกิจก็ควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปพร้อมๆ กับการศึกษา เนื่องจาก หากระบบการศึกษาเดินหน้าเศรษฐกิจก็เดินหน้า ซึ่งถ้าเศรษฐกิจขยายตัวดีอยู่แล้วและประชาชนก็มีความรู้ความสามารถก็ยิ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น
 นายบัณฑูร ยังได้กล่าวอีกว่า ในปีนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อและแผนธุรกิจเดิมไว้ โดยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้ที่ 7-9% ซึ่งเป็นการเติบโตของทุกกลุ่ม ทั้งสินเชื่อรายใหญ่ รายย่อย และเอสเอ็มอี ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่า คงเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีหน้าที่ดูแลรักษาเสถียรภาพเงินตรา ส่วนรัฐบาลก็มีหน้าที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยรุกประกันชีวิตมนุษย์เงินเดือน ตั้งเป้ากวาดเบี้ยประกันกว่า 500 ล้านบาท


               นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกแคมเปญผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตล่าสุด  “ประกันชีวิตมนุษย์เงินเดือน” สำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้ประจำ หรือเป็นผู้มีรายได้หลักของครอบครัว หรือหัวหน้าครอบครัวที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวในระยะยาว ซึ่งจุดเด่นของแคมเปญดังกล่าว จะเป็นการรวมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ กับการประกันโรคร้ายแรง และคิดเบี้ยประกันในอัตราที่ต่ำ เริ่มต้นเพียง 700 บาทต่อเดือน โดยชำระเบี้ยประกัน 15 ปี จะได้รับความคุ้มครอง 25 ปี
               ทั้งนี้ผู้ทำประกันชีวิตมนุษย์เงินเดือน จะได้รับจ่ายเงินคืนทุกปี ปีละ 1% ของทุนประกัน  เพื่อเก็บเป็นเงินออมสำหรับครอบครัว รับความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 125% ของทุนประกัน และความคุ้มครองอุบัติเหตุเพิ่มอีก100% ของทุนประกัน เมื่อครบสัญญาจะได้รับรวมผลประโยชน์สูงถึง 150% ของทุนประกัน พร้อมสามารถใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์กรมสรรพากร
              นอกจากนี้จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรคร้ายที่ไม่คาดคิดใน 4 กลุ่มโรคร้ายแรง ได้แก่ กลุ่มโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ กลุ่มโรคมะเร็ง กลุ่มโรคที่มีภาวะขั้นรุนแรงขั้นสุดท้ายของ ตับ ปอด และไต และกลุ่มอื่น ๆ เช่น อัลไซเมอร์ และทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร
                ธนาคารกสิกรไทย เชื่อว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจร่วมแคมเปญ “ประกันชีวิตมนุษย์เงินเดือน” มาก โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจสมัครใช้บริการกว่า 40,000 ราย คิดเป็นค่าเบี้ยประกันกว่า 500 ล้านบาท โดยคาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มประมาณ 30% ต่อเดือน
               สำหรับภาพรวมตลาดของธุรกิจประกันของธนาคารกสิกรไทย (Bancassurance) ในครึ่งปีแรกมีเบี้ยประกันรับกว่า 5,700 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 27%




ปัจจุบันประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนอยู่มากมาย และส่วนมากจะเป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นผู้หารายได้หลักสำหรับครอบครัว ดังนั้นหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงแก่คนในครอบครัว ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ทำประกันชีวิตมนุษย์เงินเดือน เพื่อสำหรับคนวัยทำงาน เนื่องจากประกันชีวิตนี้ได้ให้ความคุ้มครองอย่างครบวงจรทั้ง คุ้มครองชีวิต อุบัติเหตุ และโรคร้าย รวมทั้งสามารถใช้เป็นช่องทางการเก็บออมเงินสำหรับใช้จ่ายยามจำเป็นในอนาคตได้ และเป็นกลยุทธ์ของบริษัทอย่างหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มยอดขายในแต่ละเดือนของบริษัทได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยปล่อยกู้สร้างคอนโดฯ ยูดีไลท์ ยกกำลังสองฯ


นายทวิช ธนะชานันท์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนายธนพล ศิริธนชัย (ที่ 2 จากขวา) ประธานอำนวยการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ร่วมพิธีลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัท ฯ เพื่อใช้ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียม โครงการยูดีไลท์ ยกกำลังสอง@บางซื่อ Station บริเวณ ซอยประชาชื่น 19 ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักพหลโยธิน เมื่อเร็ว ๆ นี้

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2554)

ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เพื่อใช้ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียม

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โจรแสบควงระเบิดปลอมบุกปล้นแบงก์ กวาดเฉียดล้านหนีลอยนวล


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 ก.ค. เกิดเหตุคนร้ายอายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน สวมหมวกผ้าปิดบังใบหน้าสวมทับด้วยแว่นตาสีดำ บุกเข้าวางระเบิดลักษณะคล้ายระเบิดไดนาไมต์ ขู่บังคับพนักงานประจำเคาน์เตอร์ธนาคารกสิกรไทย สาขาบ้านฉาง เลขที่ 51 หมู่ 3 ถนนสุขุมวิท อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ให้นำเงินใส่ในถุงพลาสติก ก่อนจะวิ่งออกไปขึ้นจักรยานยนต์ที่จอดข้างธนาคารขี่หลบหนีไป ใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 5 นาที ได้เงินไปเกือบ 1 ล้านบาท
ด้าน น.ส.วิไลพร ภูษณะภัทร เจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า  คนร้ายหยิบระเบิดออกมาจากเสื้อ วางไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะยื่นถุงพลาสติกให้และบอกให้หยิบเงินใส่ พร้อมขู่ว่าหากไม่หยิบจะกดโทรศัพท์ที่ถืออยู่ให้ระเบิดทำงาน ตัวเองอยู่ในอาการตกใก็หยิบเงินให้จนหมดเคาน์เตอร์ คนร้ายจึงบอกให้หยิบอีกเคาน์เตอร์ที่อยู่ข้างกัน ส่วนใหญ่เป็นแบงก์ละ 1,000 บาท จำนวนหลายปึก ใส่ถุงพลาสติกก่อนจะหยิบใส่กระเป๋าวิ่งหนีออกจากธนาคาร ขณะนั้นได้กดสัญญาณเตือนภัย ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงดังกล่าว คาดว่าคนร้ายน่าจะได้เงินไปเกือบๆ 1 ล้านบาท
เบื้องต้นตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดระยองได้ทำการเช็กรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ล่าสุดทราบว่า เป็นรถจักรยานยนต์ซูซุกิ คริสตัล สีดำ หมายเลขทะเบียน 544 แต่ไม่ทราบหมวดอักษร แต่มีอยู่ 3 คันในจังหวัดระยอง อย่างไรก็ตามหลังตำรวจทำการเก็บกู้ระเบิดพบว่าเป็นระเบิดปลอมที่ทำขึ้น

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า  (จันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2554)
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม คนร้ายอายุประมาณ 30 ปี บุกเข้าวางระเบิดบังคับพนักงานประจำเคาน์เตอร์ธนาคารกสิกรไทย ให้นำเงินใส่ในถุงพลาสติก ก่อนจะวิ่งออกไปขึ้นจักรยานยนต์ที่จอดข้างธนาคารขี่หลบหนีไป ได้เงินไปเกือบ 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหลังตำรวจทำการเก็บกู้ระเบิดพบว่าเป็นระเบิดปลอมที่ทำขึ้น


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เคแบงก์รับรางวัลบริษัทที่มีธรรมาภิบาลดีเด่นของเอเชีย ปี 2554


นายปรีดี ดาวฉาย (ขวา) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคาร ฯ รับมอบรางวัลบริษัทที่มีธรรมาภิบาลดีเด่นของเอเชียประจำปี 2554 (Corporate Governance Asia Recognition Award 2011) จากวารสารคอร์เปอเรท กัฟเวอร์แนนซ์ เอเชีย ซึ่งธนาคาร ฯ ได้รับเป็นปีที่ 7 และเป็นผู้แทนนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย รับรางวัลผู้บริหารยอดเยี่ยมของเอเชีย ประจำปี 2554 (Asian Corporate Director Recognition Award 2011) โดยมีนายแอลดริน มอนซอด (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัทนิวอินนิชิเอทีฟ เอเชีย เป็นผู้มอบ ณ โรงแรมคอนราด ฮ่องกง เมื่อเร็ว ๆ นี้

ธนาคารกสิกรไทยได้รับรางวัลบริษัทที่มีธรรมาภิบาลดีเด่นของเอเชียประจำปี 2554 จากวารสารคอร์เปอเรท กัฟเวอร์แนนซ์ เอเชีย และได้รับรางวัลผู้บริหารยอดเยี่ยมของเอเชีย ประจำปี 2554 อีก 1 รางวัล

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยครองตำแหน่งธนาคารเพื่อรายย่อย 4 ปีซ้อน


  
  ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล (ที่ 4 จากขวา) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการมอบรางวัล Money&Banking Awards 2011 โดยมีนายอำพล โพธิ์โลหะกุล (ที่ 3 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการ และนายวัลลภ  ว่องจิตต์วุฒิไกร (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคารฯ รับมอบ 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2554 (Best Retail Bank of the Year 2011) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และรางวัลยอดเยี่ยม บูธสวยงามประเภทพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็นปีที่ 5 โดยมีนายสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ (ที่ 4 จากซ้าย) บรรณาธิการบริหาร วารสารการเงินธนาคาร ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพ เมื่อเร็ว ๆ นี้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย จัด K SME Care Business Forum 2011



     นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “5 มิติพลังสร้างสรรค์ ผลักดันความสำเร็จ SME ไทย” เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้จากนักคิด นักธุรกิจ ที่มีชื่อเสียง อาทิ นายตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการบริหาร บจก.ตันไม่ตัน นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด และนางสาวภัทรา สหวัฒน์ เจ้าของเพลินวาน&แมนชั่น 7 ด้วยมุมมองการสร้างสรรค์ที่แตกต่างใน 5 มิติ คือ การสื่อสาร, การจัดการ, แบรนดิ้ง, นวัตรกรรม และการตลาด โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังอย่างล้นหลาม ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สมาชิกในกลุ่ม

สมาชิกในกลุ่ม

นางสาวกรรณิการ์             กุลวริทธิ                          รหัส  52112804011
นางสาวธัญธร                   ภู่บำรุง                             รหัส 52112804017
นางสาวกาญจนา              จุติโรจปกรณ์                   รหัส  52112804020
นางสาวปาริฉัตร               นิลทะวงษ์                        รหัส 52112804027
นางสาวนภา                     พรหมวินานรัตน์               รหัส  52112804042
นางสาวอธิบดี                  ยังเจริญ                            รหัส  52112804043 
นางสาวพิชชาพร             ขันติวงศ์                           รหัส  52112804052
          นางสาวอาภาพร              พงษ์วัทวิสนนท์               รหัส  52112804056       
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะวิทยาการจัดการ
สาขาวิชาการเงิน  ปี3

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย ร่วมกับกรมบัญชีกลาง จัดสินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญ ผ่อนสูงสุด 30 ปี อนุมัติภายใน 24 ชม.


นายชาติชาย พยุหนาวีชัย (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย พร้อมด้วยนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม (กลาง) ปลัดกระทรวงการคลัง และนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ (ที่ 2 จากซ้าย) อธิบดีกรมบัญชีกลาง ร่วมลงนามในโครงการกู้เงินกับสถาบันการเงินโดยใช้บำเหน็จตกทอดค้ำประกัน โดยธนาคารได้เปิดสินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญกสิกรไทย (K-Personal Loan for Pensioner) ด้วยการปล่อยกู้ให้กับข้าราชการบำนาญแบบไม่จำกัดอายุผู้กู้ วงเงินสูงสุด 100% ผ่อนสูงสุดถึง 30 ปี ทราบผลอนุมัติได้ภายใน 24 ชั่วโมง ติดต่อได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขาทั่วประเทศหรือโทร. 02 888 8888 กด 04 ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เมื่อเร็ว ๆ นี้

แหล่งที่มา

http://www.newswit.com/gen/2011-07-05/c900d91ae41cb238b9be8b0c882b4a09/: 5 กรกฎาคม 2554

ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลังจัดโครงการกู้เงินกับสถาบันการเงินเปิดสินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญกสิกรไทย โดยแค่ใช้บำเหน็จตกทอดค้ำประกันเท่านั้น แบบไม่จำกัดอายุผู้กู้ ผ่อนได่สูงสุดถึง 30 ปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

บัตรเครดิตกสิกรไทย ร่วม 5 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ จัด 0% สูงสุด 10 เดือน


บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ 5 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ทั้งโฮมโปร บุญถาวร เอสบี โฮมเวิร์ค และอินเด็กซ์ (HomePro, Boonthavorn, SB, HomeWorks, Index) จัดโปรโมชั่น Big Point Big Earn โดยลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ชำระค่าเฟอร์นิเจอร์ทั้งแบบเต็มจำนวนหรือเลือกผ่อนชำระ 0% ได้นานถึง 10 เดือน ตั้งแต่วันนี้-31 ส.ค. 54 รับคะแนนสะสมเพิ่มสูงสุด 12,000 คะแนน


แหล่งที่มา http://www.newswit.com/fin/2011005/b35c428d18dc58a2fb60c43fd52da577/: 5กรกฎาคม 2554

ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับ 5 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ จัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าจ่ายผ่านบัตรเครดิต 0% เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการผ่อนชำระในการซื้อสินค้า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

13แบงก์อ้ารับใช้บำเหน็จค้ำกู้



กรมบัญชีกลางผนึก 13 แบงก์ หนุนข้าราชการบำนาญ 4 แสนราย ใช้บำเหน็จตกทอดทายาทค้ำประกันเงินกู้ คิดดอกเบี้ยเฉลี่ย MLR -0.5%หรือไม่เกิน 6.5%ต่อปีเตรียมให้ใช้สิทธิไม่เกินเดือนส.ค.หลังเปิดประตูยื่นคำขอ 4 ก.ค. ด้านผู้รับบำนาญสมาชิก กบข.ต้องรอประกาศกระทรวงอีกระลอก
หลังจากกรมบัญชีกลางแก้ไขกฎหมายบำเหน็จบำนาญเพื่อให้ผู้รับบำนาญสามารถนำบำเหน็จตกทอดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงิน 2 ฉบับคือพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการพ.ศ.2494 สำหรับผู้รับบำนาญที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. และพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2539 สำหรับผู้รับบำนาญที่เป็นสมาชิก กบข. ในทางปฏิบัติต้องออกกฎกระทรวง 2 ฉบับ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงิน พ.ศ. 2554 นั้น
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า กรมบัญชีกลางกำหนดจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง โครงการกู้เงินกับสถาบันการเงินโดยนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงินกับ ธนาคารทั้ง 13 แห่ง ในวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2554 ณ ห้องประชุมจูปิเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร โดยมี 13 ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ 1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 2.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 3. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 4. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 5.ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) 6. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 7. ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) 8. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 9. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 10.ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) 11.ธนาคารออมสิน 12.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ13. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการกู้กำหนดดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย MLR -0.5% หรือไม่เกิน 6.5% ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย MLR ของแต่ละธนาคารซึ่งจะไม่เท่ากัน โดยปัจจุบันมีผู้รับบำนาญ จำนวน 435,588 คน จ่ายเงินบำนาญรายเดือน 7,594.29 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งผู้รับบำนาญเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้รับบำนาญปกติ 248,705 คน และผู้รับบำนาญสมาชิก กบข. จำนวน 186,883 คน ขณะที่เงินส่วนที่เหลืออีก 15 เท่า ของบำเหน็จค้ำประกัน จะเป็นเงินบำเหน็จตกทอดที่เหลือไว้ให้กับทายาท ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 70,000 ล้านบาท
"ความร่วมมือครั้งนี้ ไม่ได้เป็นภาระงบประมาณแต่อย่างใด เพราะธนาคารเข้ามารับภาระ แต่ธนาคารก็ได้หลักทรัพย์ค้ำประกันชั้นดี และทางกรมบัญชีกลาง ยังได้ให้มีการหักเงินบำนาญผ่านบัญชีทันที"นายรังสรรค์กล่าว
ทั้งนี้ ผู้รับบำนาญกลุ่มแรก จะสามารถยื่นคำขอกู้เงินกับสถาบันการเงินประมาณเดือนกรกฎาคมนี้และสามารถใช้บำเหน็จตกทอดดังกล่าว เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารได้ไม่เกินเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ส่วนผู้รับบำนาญที่เป็นสมาชิก กบข. คงต้องรออีกซักระยะเนื่องจากต้องผ่านกระบวนการประกาศกฎกระทรวงให้เสร็จเรียบร้อยก่อน(โดยยังอยู่ในขั้นตอนส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา)
สำหรับผู้มีสิทธิที่จะนำบำเหน็จตกทอดไปค้ำประกันการกู้เงิน หรือผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพนั้น มีเงื่อนไขในทางปฏิบัติ คือ ผู้รับบำนาญต้องแจ้งให้ผู้มีสิทธิรับบำเหน็จตกทอดทราบก่อน เพราะหากไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้จะต้องนำบำเหน็จตกทอดไปใช้หนี้เงินกู้ก่อน จำนวนเงินบำเหน็จตกทอดที่จะได้รับจะลดน้อยลงไป โดยเรื่องระบบการตรวจสอบสิทธิ การตรวจสอบข้อมูล และการอนุมัติวงเงินบำเหน็จตกทอดนั้นกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมระหว่างส่วนราชการ และธนาคารเรียบร้อยแล้ว
อนึ่ง บำเหน็จค้ำประกัน คือ ตามกฎหมายจะมีการจ่ายเงินบำเหน็จตกทอด จำนวน 30 เท่าของบำนาญรายเดือน จ่ายให้แก่ทายาท เมื่อผู้รับบำนาญเสียชีวิต ต่อมามีการแก้กฎหมาย แบ่งเงินดังกล่าวให้ผู้รับบำนาญนำมาใช้ก่อน 15 เท่าของเงินบำนาญ เมื่อตอนออกจากราชการ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ถ้าเกิน ส่วนที่เกินจะไปขอรับได้อีกครั้งเมื่ออายุ 65 ปีบริบูรณ์ แต่รวมกันต้องไม่เกิน 400,000 บาท เงินส่วนนี้ เรียกว่า เงินบำเหน็จดำรงชีพ และเงินส่วนที่เหลืออีก 15 เท่า จะเป็นเงินบำเหน็จตกทอดที่เหลือไว้ให้กับทายาท วงเงินจำนวนนี้ ที่จะนำไปเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้ำประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงิน ที่เรียกกันว่า บำเหน็จค้ำประกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้รับบำนาญ เพราะโดยปกติผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป มักจะไม่ได้รับอนุมัติให้ทำนิติกรรมทางการเงิน เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันการกู้เงินกับธนาคาร

แหล่งที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,649 3-6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บำเหน็จตกทอดค้ำประกันการกู้เงินร่วมกับสถาบันการ เป็นการช่วยเหลือข้าราชการผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญให้มีโอกาสกู้เงินเพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการลงทุนประกอบอาชีพ ขยายกิจการ รวมถึงดำรงชีวิต โดยการนำเงินบำเหน็จตกทอดที่ทายาทจะได้รับมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงิน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยชี้ศก.-สินค้าแพงมีผลต่อพฤติกรรมการใข้จ่ายของผู้ถือบัตรเครดิต


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ทิศทางเศรษฐกิจ ปัญหาราคาสินค้าแพง ผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถือบัตรเครดิต" ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างต้องเผชิญกับปัญหาภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคบางกลุ่ม ที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคงจะมีผลต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ภาวะค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นก็อาจส่งผลต่อสภาพคล่องของผู้บริโภคบางกลุ่มได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตที่มีการผ่อนชำระบัตรเครดิต ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจ พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย และพฤติกรรมการชำระบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรเครดิต เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงที่เหลือของปี 2554 นี้ โดยได้ทำการสำรวจในระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม – 17 มิถุนายน 2554 จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 725 ชุด โดยเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกเจาะจงเฉพาะผู้ที่ใช้บัตรเครดิตจับจ่ายสินค้าและบริการ โดยกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานที่ทำงาน และห้างสรรพสินค้าทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

- การปรับขึ้นราคาสินค้ามีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถือบัตรเครดิต

จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ขยายตัวร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มราคาสินค้าปรับขึ้นกว่าร้อยละ 7.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับขึ้นของราคาสินค้านั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคบางกลุ่ม สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งเป็นสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน และจากการปรับขึ้นราคาสินค้าดังกล่าว ก็อาจมีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในผู้ถือบัตรบางกลุ่มที่เปลี่ยนไปตามภาวะแวดล้อมเช่นปัจจุบัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สอบถามถึงการปรับขึ้นราคาสินค้าจะมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรหรือไม่ โดยผู้ที่คิดว่าตนเองได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 68.8 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.2 ของผู้ตอบแบบสอบถาม


ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงการปรับตัวของผู้ใช้บัตรเครดิตที่คิดว่าการที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นมีผลต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะปรับพฤติกรรมในการซื้อสินค้าของตนเอง เช่น ซื้อสินค้าจำนวนน้อยลง หรือซื้อของราคาถูกลง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.6 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามอีกกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง เช่น ดูหนัง ทานข้าวนอกบ้าน เป็นต้น คิดเป็นร้อยละ 43.7 และผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 11.7 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการใช้จ่าย โดยซื้อเท่าเดิมแต่พึ่งพาสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น

- ผู้ถือบัตรเครดิตใช้บัตรในการชำระค่าสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์ทบ่อยที่สุด

ปัจจุบัน สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นเสมือนเครื่องมือทางการเงินที่มีความสะดวกสบาย มีจำนวนร้านค้ารับบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากเดิม ประกอบกับผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างออกสิทธิประโยชน์มากมายในการใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือบริการ ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงการใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้าหรือบริการใดบ่อยครั้งที่สุด พบว่า ผู้ถือบัตรเครดิตกว่าร้อยละ 23.1 ใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์ท สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ใช้บ่อยครั้งรองลงมา คือ การใช้จ่ายในร้านอาหาร คิดเป็นร้อยละ 20.2 ขณะที่ค่าน้ำมันรถ คิดเป็นร้อยละ 19.4 ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในเรื่องของเครื่องแต่งกาย เช่น เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องประดับ และกระเป๋า เป็นต้น คิดเป็นร้อยละ 15.1 ค่าที่พักโรงแรมและท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 12.6 และอื่นๆ เช่น ดูหนัง จ่ายค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด


วงเงินที่ใช้จ่ายต่อเดือน สัดส่วน (ร้อยละ)

ต่ำกว่า 2,500 บาท 10.3
2,500-5,000 บาท 32.7
5,001-10,000 บาท 24.7
10,001-15,000 บาท 11.4
15,001-20,000 บาท 9.4
20,001-25,000 บาท 3.7
25,001-30,000 บาท 4.4
30,001-40,000 บาท 1.1
40,000 บาท ขึ้นไป 2 .2


สำหรับวงเงินในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในแต่ละเดือน 3 อันดับแรก พบว่า ผู้ถือบัตรเครดิตใช้จ่ายผ่านบัตรในแต่ละเดือนเป็นจำนวนเงิน 2,500-5,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 32.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ขณะที่รองลงมา คือ ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 5,001-10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 24.7 ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 10,001-15,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 11.4 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

- ผู้ใช้บัตรเครดิตร้อยละ 63.3 ผ่อนชำระบัตรเครดิตเต็มจำนวน

เมื่อสำรวจถึงพฤติกรรมการชำระบัตรเครดิต พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ชำระบัตรเครดิตเต็มจำนวน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.3 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ขณะที่ผู้ที่ชำระบัตรเครดิตมีสัดส่วนร้อยละ 36.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม


ผู้ตอบแบบสอบถามที่ผ่อนชำระสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10-20 ของรายได้ต่อเดือน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.0 ของผู้ผ่อนชำระบัตรเครดิต ขณะที่รองลงมา คือ ผ่อนชำระร้อยละ 21-30 ของรายได้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.4 ผ่อนชำระร้อยละ 31-40 ของรายได้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.0 ผ่อนชำระร้อยละ 41-50 ของรายได้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.9 และผ่อนชำระมากกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ คิดเป็นร้อยละ 10.7 ของผู้ผ่อนชำระบัตรเครดิต

- ผู้บริโภคส่วนใหญ่ร้อยละ 68.7 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการผ่อนชำระเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการชำระสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ผ่อนชำระเครดิตร้อยละ 68.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการการผ่อนชำระบัตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม


สำหรับเหตุผลที่ผู้ตอบแบบสอบถาม มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการชำระบัตรเครดิต คือ ผ่อนชำระบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่ต้องการเป็นหนี้ คิดเป็นร้อยละ 52.0 (หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.3 ของผู้ผ่อนชำระบัตรเครดิต) ขณะที่ผ่อนชำระสินเชื่อต่องวดลดลง เนื่องจากมีภาระรายจ่ายเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 40.7 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 6.3 ตอบว่า บางเดือนไม่จ่ายแต่ยอมเสียดอกเบี้ย

- ทิศทางเศรษฐกิจ ปัญหาราคาสินค้าแพง ปัจจัยสร้างความกังวลต่อผู้บริโภค

เมื่อถามถึงปัจจัยที่จะสร้างความกังวลและมีผลต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในระยะข้างหน้า โดยปัจจัยดังกล่าวนี้ มีผลต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งยังคงขึ้นอยู่กับความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตรเป็นสำคัญ จากผลสำรวจ พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ให้ความสำคัญแต่ละปัจจัยในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยอันดับแรกที่ผู้ใช้บัตรเครดิตได้ให้ความสำคัญ คือ ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า คิดเป็นร้อยละ 22.6 ของผู้ตอบแบบสอบถาม

สำหรับปัจจัยที่จะมีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่างรองลงมา คือ ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ร้อยละ 21.6 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาสินค้าคงจะส่งผลต่ออำนาจการซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มลดลง ซึ่งก็อาจมีผลต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบที่จะลดลงตาม ขณะที่ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในอันดับถัดๆไป ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 19.1 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งในช่วงที่จัดทำแบบสอบถามเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการเลือกตั้งจึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค


นอกจากนี้ความกังวลในเรื่องของความมั่นคงทางรายได้ คิดเป็นร้อยละ 18.6 โดยความกังวลดังกล่าวขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมรอบตัวของผู้บริโภค เช่น เศรษฐกิจ หรือความมั่นคงของอาชีพการมีงานทำ เป็นต้น ซึ่งเมื่อผู้บริโภคมีความกังวลเกิดขึ้น ก็จะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย และอาจจะมีผลต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตด้วยเช่นกัน

สำหรับความกังวลเรื่องราคาน้ำมัน คิดเป็นร้อยละ 18.1 ทั้งนี้ราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งการปรับขึ้นราคาน้ำมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าและบริการ ทำให้ราคาสินค้าในหลายประเภทมีการปรับตัวสูงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และส่งผลกระบเป็นลูกโซ่ต่อมายังความสามารถในการซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นราคาน้ำมันมีนัยสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตที่มีรถส่วนตัว ที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ปัจจุบันผู้บริโภคกำลังถูกรุมเร้าด้วยปัจจัยลบต่างๆ ทั้งจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ที่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าและบริการ ทำให้ราคาสินค้าในหลายประเภทมีการปรับตัวสูงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคหลายรายการปรับตัวสูงขึ้น และเริ่มส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค จากผลสำรวจ พบว่า การปรับขึ้นราคาสินค้าส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรคิดเป็นร้อยละ 68.8 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.2 ของผู้ตอบแบบสอบถาม

อย่างไรก็ดี จากแบบสอบถามสะท้อนให้เห็นได้ว่า เมื่อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว ทำให้ผู้ถือบัตรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตน ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อธุรกิจบัตรเครดิตในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ในด้านของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทังนี้จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการเองก็มีการปรับแคมเปญสิทธิประโยชน์ของบัตรตามสภาพแวดล้อมของธุรกิจบัตรเครดิต อาทิ ส่วนลดในการเข้าพักโรงแรม ใช้คะแนนสะสมแลกแทนเงินเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในร้านค้าที่ร่วมรายการ หรือใช้จ่ายผ่านบัตเครดิตตามวงเงินที่กำหนดจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชี เป็นต้น ซึ่งสิทธิประโยช์ดังกล่าวช่วยให้ถือบัตรเครดิตประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง

สำหรับในกรณีของการผ่อนชำระบัตรเครดิตนั้น แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ผ่อนชำระบัตรเครดิตในขณะนี้ยังมีส่วนน้อยที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามระยะเวลาที่กำหนด แต่เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังคงมีความผันผวนที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงธุรกิจบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กันไปกับการทำตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เพื่อเป็นการรักษาระดับคุณภาพของระบบสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้ประกอบการ ก่อนที่สินเชื่อบัตรเครดิตจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ในส่วนของผู้ใช้บัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การที่ผู้ประกอบการต่างยังคงใช้กลยุทธ์เพิ่มสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิต เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น ซึ่งผู้ใช้บัตรเครดิตจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่สูง ก็ต่อเมื่อผู้ใช้บัตรเครดิตมีการวางแผนทางการเงินที่ดี โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ควรเกินกำลังความสามารถของตนเองในการชำระคืนในเดือนถัดไป ซึ่งผู้ใช้บัตรเครดิตอาจต้องกำหนดวงเงินในการใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ไม่ควรเกินร้อยละ 20-40 ของรายได้ต่อเดือน โดยขึ้นอยู่กับรายจ่ายด้านอื่นของผู้บริโภคด้วย ถ้าหากผู้ใช้บัตรเครดิตมีภาระการผ่อนชำระสินเชื่อประเภทอื่นๆ ในแต่ละเดือนด้วยนั้น การใช้จ่ายผ่านบัตรจึงไม่ควรมีสัดส่วนที่สูงเกินไป และไม่ควรปล่อยให้ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตสะสมเป็นวงเงินที่สูงเกินกว่ารายได้ต่อเดือน เนื่องจากการชำระสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 20 ต่อปี

แหล่งข้อมูล http://www.thannews.th.com/ วันพุธที่ 06 กรกฏาคม 2011

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ทิศทางเศรษฐกิจ ปัญหาราคาสินค้าแพง มีผล ผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถือบัตรเครดิตบริโภคต่างต้องเผชิญกับปัญหาภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคบางกลุ่ม ที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคงจะมีผลต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเช่นกัน เนื่องจากบัตรเครดิต เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ทำให้ในช่วงที่ผ่านๆ มา ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างทำแคมเปญการตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยเฉพาะแคมเปญสิทธิประโยชน์บัตรเครดิตที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้จ่ายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์ท ตามวงเงินที่กำหนดจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชี เป็นต้น และรวมถึงแคมเปญส่วนลด หรือคะแนนสะสมแลกแทนเงินสด ก็จัดว่าเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับในภาวะที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS