กสิกรไทย สนับสนุนวงเงินสินเชื่อโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์


นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย นายศาศวัต วีระปรีย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แฟคเตอรี แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย จำกัด และนายธวัชชัย วงศ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนวงเงินสินเชื่อลีสซิ่งเครื่องจักรกสิกรไทย จำนวน 620 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการขายและเช่ากลับคืนเครื่องจักรผลิต กระดาษคราฟท์ ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักพหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-09-15/62286b7647266213100f7a0382957954/ ประจำวันที่ 20 กันยายน 2554

สรุป ธนาคารกสิกรไทยและบริษัท ไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนวงเงินสินเชื่อลีสซิ่ง เพื่อใช้สำหรับการขายและเช่ากลับคืนเครื่องจักรผลิต กระดาษคราฟท์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย-ไอเอเอส เปิดบริการเติมเงินมือถืออัตโนมัติ


นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนายเอนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (เอไอเอส) ร่วมพัฒนาระบบเติมเงินโทรศัพท์มือถืออัตโนมัติ (Auto Top Up) ให้ลูกค้าวัน-ทู-คอล! ที่สมัครผ่านเครื่องเอทีเอ็มกสิกรไทย ตั้งเวลาเติมเงินอัตโนมัติทุกเดือน หรือเติมเมื่อเงินเหลือ 50 บาท พร้อมระบบเติมเงินหักบัญชีอัตโนมัติ สมัครวันนี้–15 ธ.ค. 54 รับค่าโทรเพิ่ม 10% และเพิ่มอีก 50 บาท เมื่อใช้บริการต่อเนื่อง 3 เดือน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0 2888 8888 หรือที่ AIS Call Center โทร.1175

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-09-20/7fc5d194e12b81da487db366d92ea548/ ประจำวันที่ 20 กันยายน 2554

สรุป  ธนาคารกสิกรไทย และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (เอไอเอส) ร่วมพัฒนาระบบเติมเงินโทรศัพท์มือถืออัตโนมัติ (Auto Top Up) ให้ลูกค้าวัน-ทู-คอล

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แจ้งเตือน! แก็งค์Call Center หลอกโอนเงินที่ตู้ATM

 ปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพออกหลอกลวงประชาชนหลายรูปแบบ โดยการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร เจ้าหน้าที่ศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งอ้างเป็นพนักงานธนาคารหรือบัตรเครดิตต่างๆ  โดยมีเป้าหมายลวงถามข้อมูลส่วนตัวและการเงิน และหลอกให้ทำรายการผ่านเครื่องเอทีเอ็มเมนูภาษาอังกฤษ โดยประชาชนไม่ทราบว่าเป็นรายการโอนเงิน ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก

         ล่าสุดกลุ่มมิจฉาชีพ ได้แอบอ้างเป็นธนาคารขนาดใหญ่รวมถึงธนาคารกสิกรไทย ใช้โทรศัพท์ทั้งที่เป็นระบบอัตโนมัติและบุคคลสุ่มโทรไปยังประชาชนทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องทราบว่าเป็นลูกค้าของธนาคารนั้น ๆ หรือไม่ และมีการสร้างเรื่องให้เหยื่อตกใจ หรือเกิดความคาดหวังในรางวัลและเงินคืนต่าง ๆ เช่น แจ้งว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต, มีรายการใช้บัตรเครดิตผิดปกติเกิดขึ้น, ได้รับเงินคืนภาษี หรือถูกรางวัล เป็นต้น

          ธนาคารกสิกรไทยขอแจ้งว่า ธนาคารไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลด้านการเงินจากลูกค้า โดยเฉพาะไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์แจ้งให้ลูกค้าไปทำรายการด้วยตนเองผ่านเครื่องเอทีเอ็มแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าได้รับโทรศัพท์แล้วมีข้อสงสัย  สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ K-Contact Center โทร.0 2888 8888 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
          โดยกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวจะโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ ทำให้การติดตาม จับกุมและปราบปรามเป็นไปได้ลำบาก และจะเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงหรือองค์กรที่แอบอ้างไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ประชาชนควรระมัดระวังในการบอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว บัตรเครดิต การเงิน และรหัสให้แก่บุคคลอื่น หรือไม่หลงเชื่อไปทำธุรกรรมผ่านเครื่องเอทีเอ็มตามที่ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ หากไม่มั่นใจให้โทรศัพท์สอบถามจากหน่วยงานต้นเรื่องหรือธนาคารก่อน

          เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีผู้หลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งได้เกิดความเสียหายจำนวนมาก ส่วนธนาคารกสิกรไทยได้มีข้อความเตือนเป็นภาษาไทยผ่านหน้าจอเอทีเอ็ม เพื่อเตือนหากเป็นการทำธุรกรรมการโอนเงิน โดยขอให้ลูกค้าโปรดสังเกต และอ่านข้อความทุกครั้งก่อนทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/WhatHot/Pages/Warning_CallCenter.aspx ประจำวันที่ 19 กันยายน 2554

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เครือกสิกรไทย ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมจ.สิงห์บุรี


นางขวัญเนตร รัตนพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนเครือธนาคารกสิกรไทย ส่งมอบถุงยังชีพ “น้ำใจไทย เกื้อกูลไทย” จำนวน 1,000 ถุง เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยอุทกภัยในตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/WhatHot/Pages/Kbank_GiveBagForLife.aspx  วันที่ 19 กันยายน 2554

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

บัตรอิออน ยัวร์แคช กดเงินตู้เอทีเอ็มกสิกรไทยได้


นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย นายยาซูฮิโกะ คอนโดะ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และนายปราโมทย์ ไชยอำพร รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ร่วมลงนามโครงการเบิกถอนเงินสดโดยใช้บัตรสมาชิกอิออน ยัวร์แคช ผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทยกว่า 7,000 เครื่องทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2554 เป็นต้นไป ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ราษฎร์บูรณะ เมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2554

สรุป : โครงการเบิกถอนเงินสดโดยใช้บัตรสมาชิกอิออน ยัวร์แคช ผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทยกว่า 7,000 เครื่องทั่วประเทศ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยติดหอเกียรติยศความเป็นเลิศด้านบริหารจัดการ


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง (ซ้าย) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัลเกียรติยศ Hall of Fame Thailand Corporate Excellence Awards ให้แก่ธนาคารกสิกรไทย โดยมีนายสมเกียรติ ศิริชาติไชย (ขวา) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนรับมอบ ในฐานะที่ธนาคารได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการ (Thailand Corporate Excellence Awards) ติดต่อกันทุกปี เป็นระยะเวลา 10 ปี จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เมื่อเร็ว ๆ นี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่ 12 กันยายน 2554

สรุป รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัลเกียรติยศ Hall of Fame Thailand Corporate Excellence Awards ให้แก่ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ธนาคารได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลีสซิ่งกสิกรไทย ออกบูธงานสัปดาห์ประกันภัย 2554 ใส่ใจคนรักรถ


บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ พลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี (ที่3จากขวา) เข้าเยี่ยมบูธลีสซิ่งกสิกรไทย โดยคุณอำพล โพธิ์โลหะกุล (ที่2จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทยและประธานกรรมการบริหาร บจก.ลีสซิ่งกสิกรไทย และคุณอิสระ วงศ์รุ่ง (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ให้การต้อนรับในงานสัปดาห์ประกันภัย ครั้งที่ 3 ประจำปี 2554 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-09-08/208316a9e2305af4013a8729f94fe64b/  ประจำวันที่ 8 กันยายน 2554

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

บัตรเดบิตกสิกรไทย ใบแรกของไทยคุ้มครองทั้งผู้ถือบัตรและคนรัก


นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวบัตรเดบิตใหม่ล่าสุด K-Max Family Debit Card บัตรเดบิตใบแรกของไทยที่ให้คุ้มครองถึง 2 คน ทั้งผู้ถือบัตร และคนในครอบครัวหรือบุคคลอันเป็นที่รักอีก 1 คน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตรวมสูงสุด 300,000 บาท วงเงินดูแลรักษาพยาบาลรวมสูงสุด 10,000 บาทต่อครั้ง พร้อมส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากร้านค้าชั้นนำ สมัครใช้บริการได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-09-08/8aeca9d9396ab640e139d715c7be7871/ ประจำวันที่ 8 กันยายน 2554

สรุป ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวบัตรเดบิตใหม่ล่าสุด K-Max Family Debit Card บัตรเดบิตใบแรกของไทยที่ให้คุ้มครองถึง 2 คน ทั้งผู้ถือบัตร และคนในครอบครัว ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตรวมสูงสุด 300,000 บาท

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย เปิดให้บริการชำระค่าอะไหล่ย่งกี่ผ่านบัตรธุรกิจกสิกรไทย


นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และคุณวีรศักดิ์ กิตะพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ย่งกี่ จำกัด ร่วมลงนามการใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรธุรกิจกสิกรไทย (K-Corporate Payment Card) เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าและบริการให้กับคู่ค้าทางธุรกิจของย่งกี่ด้วยบัตรสมาร์ทการ์ด ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ราษฎร์บูรณะ เมื่อเร็วๆ นี้



ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-09-05/61182213fb52452e458214a1e67e839a/ ประจำวันที่ 5 กันยายน 2554

วิเคราะห์    ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ย่งกี่ จำกัด ร่วมลงนามการใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรธุรกิจกสิกรไทย (K-Corporate Payment Card) เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าและบริการให้กับคู่ค้าทางธุรกิจของย่งกี่ด้วยบัตรสมาร์ทการ์ด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยทะยานขึ้นอันดับ 2 ของตลาดสินเชื่อบ้าน



นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบมียอดสินเชื่อรวม 1.96 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2553 ประมาณ 3.7% โดยธนาคารของรัฐครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 41.5% แต่มีการเติบโตเพียง 2.8% ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 58.4% เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.4% สำหรับธนาคารกสิกรไทยมียอดสินเชื่อบ้านกสิกรไทยรวม 182,983 ล้านบาท มีอัตราเติบโตของสินเชื่อที่ 9.7 % จากสิ้นปี 2553 เพิ่มสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 8.81% ในสิ้นปี 2553 เป็น 9.33% ณ สิ้นมิถุนายน 2554 ทำให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถก้าวขึ้นครองอันดับที่สอง ของตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 1.63% ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อบ้านกสิกรไทยเติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตของตลาดรวมในระดับ 2-3 เท่ามาโดยตลอด ทำให้สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยขึ้นมาจากอันดับ 4 มาเป็นอันดับที่ 3 ในสิ้นปี 2551 และเมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยสามารถแซงขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะสามารถเป็นที่ 2 ในสิ้นปี 2554 สำหรับปัจจัยที่ทำให้สินเชื่อบ้านกสิกรไทยมีอัตราเติบโตสูง มาจากความร่วมมือด้านการตลาดและช่องทางการขายร่วมกับพ ันธมิตรผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ รวมทั้งธนาคารพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านกสิกรไทยให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทั้งบริการก่อนและหลังการขาย และมีความพร้อมของทีมงานสาขา และทีมขายที่แข็งแกร่ง

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/AboutUs/CompanyNews/Pages/news050911_E90F06F4.aspx
ประจำวันที่ 5 กันยายน 2554

วิเคราะห์ นายเมธี พรรณเชษฐ์ (ซ้าย) ผู้บริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์ตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคารฯ รับมอบ 2 รางวัลใหญ่ด้านธุรกิจตลาดทุน จากนิตยสารอัลฟ่า เซาธ์อีสต์ เอเชีย ได้แก่รางวัลสถาบันการเงินผู้ให้บริการด้านตราสารหนี้ยอดเยี่ยม (Best Bond House) ประจำปี 2554 และ รางวัลธนาคารผู้ให้การบริการด้านอัตราแลกแก่ลูกค้าบรรษัทและสถาบันการเงินยอดเยี่ยม(Best Fx Bank for Corporates and Fis) ประจำปี 2554 โดยมีนายซิดดิค บาซาร์วาล่า (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นิตยสารอัลฟ่า เซาธ์อีสต์ เอเชีย เป็นผู้มอบ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยผนึกกำลังการบินไทย ส่งนวัตกรรมการเงินครบวงจร รองรับธุรกิจสายการบิน ธุรกิจคาร์โก และธุรกิจแคทเทอริ่งสู่ระดับโลก



เครือธนาคารกสิกรไทยจับมือการบินไทย สร้างเครือข่ายธุรกิจสมบูรณ์แบบ ผ่านบริการ K-Value Chain Solutions เสริมนวัตกรรมการเงินให้ลูกค้าและคู่ค้าการบินไทย ดูแลตั้งแต่รายย่อยที่ซื้อบัตรโดยสาร ผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร ธุรกิจคาร์โก และธุรกิจแคทเทอริ่ง เครือธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าส่ง K-Value Chain Solutions จับธุรกิจลูกค้าต้นน้ำถึงปลายน้ำใน 6 อุตสาหกรรมใหญ่ ยอดขายรวมกว่า 13 ล้านล้านบาท หวังครองส่วนแบ่งตลาด 30% ในอีก 3 ปี ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด เปิดเผยว่า การบินไทยมุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ และมองหาวิธีการที่จะช่วยพัฒนาการให้บริการในทุกวงจรธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจของสายการบินและธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และด้วยบริการ K-Value Chain Solutions จากธนาคารกสิกรไทย ซึ่งนำเสนอแพ็คเกจบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าและคู่ค้าของการบินไทยในทุกวงจรธุรกิจ ทำให้การบินไทยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการได้ในหลายมิติ ได้แก่ การพัฒนาทั้งระบบวงจรธุรกิจในด้านธุรกรรมการเงินของการบินไทย การเพิ่มความสะดวกด้วยการเพิ่มช่องทางการชำระเงินให้มีความหลากหลาย สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมไปถึงช่องทางออนไลน์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ การเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้ารายย่อยสามมารถแบ่งชำระค่าตั๋วโดยสารได้ และให้ผู้แทนจำหน่าย ฯ มีวงเงินซื้อ-ขายผ่านระบบการเติมเงินแบบเรียลไทม์ การลดระบบเอกสารด้านการขนส่ง เนื่องจากเป็นการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก การเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมด้วยบริการรับชำระเงินที่มีความทันสมัย การรับประกันและการันตีเอกสาร ที่ช่วยสร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้าของการบินไทย และการลดเวลาและขั้นตอนการทำงาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนขององค์กรได้ในที่สุด ซึ่งนั่นเป็นเป้าหมายสำคัญในการทำงานของการบินไทย ทั้งนี้ ในอนาคตการบินไทยและธนาคารกสิกรไทยจะมีการศึกษาและร่วมกันพัฒนาการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าไทยคาร์โก้ (THAI Cargo) และครัวการบินไทย (THAI Catering) ให้มากขึ้นไปอีกระดับ เพื่อมุ่งพัฒนาให้ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกวงจรธุรกิจของการบินไทยได้รับความสะดวกมากขึ้นไป เพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศในการให้บริการของการบินไทย และการรักษามาตรฐานการเป็นธุรกิจสายการบินระดับโลกไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ล่าสุด การบินไทยได้รับรางวัลจากการประกาศสายการบินยอดเยี่ยมของสกายแทรกซ์ (SKYTRAX) โดยเป็นสายการบินยอดเยี่ยมเป็นอันดับที่ 5 ของโลก เลื่อนขึ้นมาจากอันดับที่ 9 เมื่อปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังได้รับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมอันดับ 1 ด้านการให้บริการอาหารบนเครื่องบินชั้นประหยัดยอดเยี่ยม และเก้าอี้โดยสารชั้นประหยัดยอดเยี่ยม โดยรางวัลเหล่านี้มาจากผลการลงคะแนนโดยผู้โดยสารกว่า 18.8 ล้านคน จากชาติต่าง ๆ กว่า 100 ชาติ ซึ่งมีสายการบินกว่า 200 สายการบินเข้ารับการพิจารณา และความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จะช่วยพัฒนาการให้บริการของการบินไทยด้านอื่น ๆ สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันจะช่วยให้การบินไทยเป็นสายการบินแถวหน้าของโลกตลอดไป นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัท การบินไทย จำกัด เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีเครือข่ายธุรกิจอยู่ทั่วโลก มีมาตรฐานการให้บริการระดับสากล และมีไทยคาร์โก้ (THAI Cargo) ให้บริการรับขนส่งสินค้า และครัวการบินไทย (THAI Catering) ดำเนินธุรกิจด้านอาหาร ทำให้การบินไทยมีลูกค้าและคู่ค้าที่หลากหลาย ดังนั้นธนาคารกสิกรไทยจึงได้ร่วมพัฒนาบริการ K-Value Chain Solutions นวัตกรรมทางการเงินครบวงจรที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของการบินไทย ด้วยบริการที่ตอบโจทย์แก่ลูกค้าและคู่ค้าในวงจรธุรกิจของการบินไทยทั้งระบบ ซึ่งมี 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ กลุ่มลูกค้ารายย่อยผู้ซื้อบัตรโดยสารการบินไทย มีการพัฒนาช่องทางการชำระเงินค่าตั๋วเครื่องบินที่หลากหลาย และสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยบริการที่สะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพ โดยธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารแห่งแรก ที่ให้บริการชำระเงินค่าบัตรโดยสารการบินไทยผ่านธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ (K-Mobile Banking PLUS) เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความนิยมในการซื้อสินค้าและทำธุรกรรมผ่านทางมือถือที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริการนี้จะอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่กว่า 2.4 ล้านราย และสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตยังสามารถจองตั๋วและชำระเงินผ่านทางแอพพลิเคชั่น (Application) บนสมาร์ทโฟนที่ธนาคารร่วมกับการบินไทยพัฒนาขึ้น โดยมีความปลอดภัยสูงสุดกับระบบ Mobile Verified by VISA ซึ่งใช้รหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One Time Password) ซึ่งเป็นธนาคารแรกของโลกที่ใช้ระบบนี้บนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถชำระค่าโดยสารผ่านบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต (K-Cyber Banking) และเอทีเอ็มกสิกรไทย (K-ATM) ได้อีกด้วย และพิเศษสุด สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยที่มีอยู่กว่า 1.7 ล้านบัตร สามารถผ่อนชำระค่าบัตรโดยสารเป็นรายเดือน ทั้งการจ่ายชำระผ่านทางโทรศัพท์มือถือและทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารแห่งแรกที่ให้บริการนี้ โดยภายในสิ้นเดือน ก.ย. ผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิผ่อนชำระ 0% นาน 6 เดือนอีกด้วย และหลังจากนี้จะมีการออกโปรโมชั่นร่วมกับการบินไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าของการบินไทยได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด กลุ่มลูกค้าตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารการบินไทย (Travel Agent) ปัจจุบันการบินไทยมีตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารทั่วประเทศกว่า 300 ราย ซึ่งมีการซื้อขายผ่านระบบของการบินไทย 150 ราย ปัจจุบันเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยอยู่ 80 ราย ธนาคารกสิกรไทยจึงได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน E-Ticket Direct Project ขึ้นเป็นธนาคารแรก เพื่อเป็นการปฏิรูปการจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ไม่ต้องวางหนังสือค้ำประกันกับการบินไทย ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้ถึง 40% และสามารถเพิ่มวงเงินในการซื้อบัตรโดยสารได้ทันที (Real Time) ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้สูงถึง 50% รวมถึงการเพิ่มดัชนีความสุขของพนักงานตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร ที่มีเวลาเพิ่มขึ้นจากขั้นตอนการทำงานที่ลดลง โดยธนาคารตั้งเป้าหมายลูกค้าตัวแทนจำหน่ายฯ ใช้บริการ E-Ticket Direct Project ทั้งสิ้น 150 ราย และยอดสินเชื่อเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ กลุ่มลูกค้าผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ของไทยคาร์โก้ (THAI Cargo) หรือ Freight Forwarder ธนาคารกสิกรไทยได้ให้บริการ K-Custom Services ช่วยให้ลูกค้าของไทยคาร์โก้ ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกสินค้าหรือตัวแทนออกของ สามารถชำระค่าพิธีการศุลกากรทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Customs ด้วยการหักบัญชีอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ แทนการชำระด้วยเงินสดหรือเช็ค และในส่วนของการชำระค่าคลังสินค้ากับ THAI Cargo ลูกค้าสามารถชำระผ่านบัตรธุรกิจกสิกรไทย K-Corporate Payment Card แทนการชำระด้วยเงินสด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงจากการถือเงินสดจำนวนมากมาชำระค่าบริการ ณ คลังสินค้าทางอากาศ ตลอดจนลดความยุ่งยากให้แก่บริษัทในการดำเนินการเบิก/ถอน/โอน เพื่อการชำระค่าบริการแต่ละครั้ง ส่งผลให้ผู้ใช้บริการสามารถออกสินค้าได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารแรกที่ให้บริการในรูปแบบนี้กับการบินไทย ทั้งนี้ในปัจจุบันมี Freight Forwarder ที่ใช้บริการไทยคาร์โก้กว่า 130 ราย และธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าจะให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้ 80% กลุ่มลูกค้าผู้ซื้อสินค้าและบริการจากครัวการบินไทย (THAI Catering) ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ซื้อสินค้าและบริการจากร้านอาหารและเลาจน์ของการบินไทย กลุ่มลูกค้าธุรกิจที่ใช้บริการอาหารและเครื่องดื่มจากครัวการบินไทย อาทิ สายการบินอื่น ๆ หรือองค์กรธุรกิจที่ใช้บริการแคทเทอริ่งในการรับรองแขก นอกจากนี้ในวงจรธุรกิจนี้ยังเกี่ยวข้องกับคู่ค้าซึ่งก็คือซัพพลายเออร์ที่ส่งวัตถุดิบให้แก่ครัวของการบินไทยเพื่อใช้ในการผลิตอาหาร โดยในแต่ละเดือนมียอดการทำธุรกรรมจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีบริการที่จะช่วยบริหารจัดการระบบการเงินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธนาคารกสิกรไทยจึงตอบสนองความต้องการดังกล่าวด้วยบริการ K-Cash Management ซึ่งเป็นบริการในการจัดการด้านการเงินต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การจัดการเงินสด การรับ-จ่ายเงินกับการบินไทย ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกในการรับเงินค่าวัตถุดิบจากการบินไทยในหลายๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินเข้าบัญชี หรือการรับเช็คเงินสดที่สาขาของธนาคารกสิกรไทย นายกฤษฎา กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยมั่นใจว่า บริการ K-Value Chain Solutions จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของการบินไทย รวมทั้งธุรกิจของคู่ค้าและลูกค้าของการบินไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งทั้งวงจรธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการรักษามาตรฐานความเป็นสายการบินระดับโลกไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดให้บริการ K-Value Chain Solutions เพื่อตอบสนองความต้องการในวงจรธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายธุรกิจยาวและซับซ้อนอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อและการเงินที่ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละธุรกิจ โดยตั้งเป้าการให้บริการ K-Value Chain Solutions แก่เครือข่ายธุรกิจใน 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมี กลุ่มค่าปลีกค้าส่ง กลุ่มอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง กลุ่มขนส่ง กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์ โดยทั้ง 6 อุตสาหกรรมมียอดขายรวมกว่า 13 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 17% และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30% ในอีก 3 ปีข้างหน้า มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 30% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 3,000 กว่าล้านบาท และเป็นธนาคารหลัก (Main Operating Bank) ในทุกกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/AboutUs/CompanyNews/Pages/news010911_FC36F943.aspx ประจำวันที่ 1 กันยายน 2554

วิเคราะห์  ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด และนายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวความร่วมมือระหว่างเครือธนาคารกสิกรไทยกับการบินไทย ในการให้บริการ K-Value Chain Solutions แก่วงจรธุรกิจหลักการบินไทย ด้วยกลุ่มนวัตกรรมการเงินแบบครบวงจร ดูแลลูกค้าและคู่ค้าของการบินไทย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้ารายย่อยที่ซื้อบัตรโดยสาร ผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร วงจรธุรกิจคาร์โก และวงจรธุรกิจแคทเทอริ่ง เครือธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าส่ง K-Value Chain Solutions จับธุรกิจลูกค้าต้นน้ำถึงปลายน้ำใน 6 อุตสาหกรรมใหญ่ ยอดขายรวมกว่า 13 ล้านล้านบาท หวังครองส่วนแบ่งตลาด 30% ในอีก 3 ปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย ออกสินเชื่อร้านค้ารายย่อยให้เงินกู้ 3 เท่าของยอดเงินฝาก



นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ออกบริการสินเชื่อเอสเอ็มอีเพื่อร้านค้ารายย่อยกสิกรไทย (K-SME Retail Credit) เพื่อให้การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย โดยผู้ประกอบการสามารถนำบัญชีเงินฝากมาเป็นหลักประกัน เพื่อขอวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (O/D) วงเงินสูงสุด 3 เท่าของบัญชีเงินฝากที่เป็นหลักประกันวงเงินหรือสูงสุด 6 ล้านบาท อนุมัติภายใน 3 วัน ซึ่งเร็วที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ถึง MRR+3% ต่อปี หลังจากนั้นผู้ประกอบการต้องทยอยฝากเงินเข้าบัญชีเท่า ๆ กันทุกเดือนให้เท่ากับวงเงินส่วนต่างที่ไม่มีเงินฝากค้ำประกัน ภายในระยะเวลา 3 ปีเพื่อเป็นการออมควบคู่กันไป ซึ่งเมื่อครบกำหนดระยะเงินฝากลูกค้าสามารถเบิกถอนเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยไว้ต่อยอดธุรกิจในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้านำบัญชีเงินฝากมาเป็นหลักประกัน 200,000 บาท ก็จะได้รับวงเงินหมุนเวียน 600,000 บาท เท่ากับมีวงเงินส่วนที่ไม่มีเงินฝากค้ำประกัน 400,000 บาท ลูกค้าต้องทยอยฝากเงินเข้าบัญชีเดือนละ 11,120 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี สินเชื่อเอสเอ็มอีเพื่อร้านค้ารายย่อยกสิกรไทย มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย เช่น ร้านดอกไม้ ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ฯลฯ ที่ทำธุรกิจมียอดขายไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี มีประสบการณ์การท ำธุรกิจไม่ต่ำกว่า 3 ปี ทั้งที่เป็นลูกค้าใหม่และลูกค้าที่ใช้บริการกับทางธนาคารอยู่แล้ว โดยธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอีเพื่อร้านค้ารายย่อยกสิกรไทยภายในสิ้นปีนี้ไว้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา ศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ K-BIZ Contact Center โทร. 02-888-8822 นายปกรณ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากที่มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องและขยายธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาจะมีข้อจำกัดทางด้านการเงิน และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ดังนั้น สินเชื่อเอสเอ็มอีเพื่อร้านค้ารายย่อยกสิกรไทยจะช่วยผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลและเงินกู้นอกระบบ รวมทั้งยังสามารเปิดบัญชีออมเงินควบคู่และได้รับดอกเบี้ยจากการฝากเงินกับทางธนาคาร ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีเงินเก็บเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองในการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคตได้

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/AboutUs/CompanyNews/Pages/news310811_3ABC3DA5.aspx ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2554

วิเคราะห์  นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย แถลงข่าวการออกสินเชื่อเอสเอ็มอีเพื่อร้านค้ารายย่อยกสิกรไทย (K-SME Retail Credit) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย เพียงนำบัญชีเงินฝากมาเป็นหลักประกันขอวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี ได้สูงสุด 3 เท่าของเงินฝากโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายค้ำประกันสินเชื่อเพิ่ม พร้อมตั้งเป้าปล่อยกู้ภายในสิ้นปีนี้ 2,000 ล้านบาท

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยเพิ่มส่วนแบ่งธนาคารหลักเป็น 25%

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า โครงการขนาดใหญ่ของไทยในปีนี้ที่จะมีการระดมเงินทุนมีประมาณ 230 โครงการ วงเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยโครงการที่มีการระดมเงินทุนไปแล้วประมาณ 100 โครงการ วงเงินประมาณ 400,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ธนาคารกสิกรไทย เข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุน 50 โครงการ มูลค่า 250,000 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในปี 2554 อยู่ที่ 340,000 ล้านบาท หรือเพิ่มถึง 4-6% รายได้เพิ่ม 22% รายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่ม 22% เงินฝากเพิ่ม 5% และจะเพิ่มส่วนแบ่งการเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) จาก 22% ในปี 2553 เป็น 25% ในปี 2554 ส่วนแบ่งตลาดจาก 15% เป็น 16% ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าเจาะตลาด (Market Penetration) กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มจาก 79% ในสิ้นปี 2553 เป็น 84% มีฐานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่กว่า 14,000 ราย โดยจะเพิ่มฐานลูกค้าให้มากขึ้นในหลายทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกิจการโรงแรมเพิ่มฐานลูกค้าจาก 81% เป็น 96% วงเงินสินเชื่อ 10,600 ล้านบาท เติบโต 28% ธุรกิจพลังงานเพิ่มจาก 77% เป็น 92% วงเงินสินเชื่อ 29,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% ปิโตรเคมี เพิ่มจาก 75% เป็น 80% วงเงินสินเชื่อ 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และยานยนต์เพิ่มจาก 76% เป็น 83% วงเงินสินเชื่อ 21,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ทั้งนี้ในครึ่งปีหลัง สินเชื่อน่าจะเต ิบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีกค้าส่ง และยานยนต์ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ ญี่ปุ่น และจีน ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย มีมูลค่าโครงการ 97,338 ล้านบาท โต 125% และ 24,309 ล้านบาท โต 241% ตามลำดับ อุตสาหกรรมหลักที่เข้ามาลงทุนมาก ได้แก่ ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในด้านการผลิต การตลาด การจ้างงาน การพัฒนาเทคโนโลยี และความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมของผู้ผลิตยานยนต์สำหรับตลาดอาเซียนและญี่ปุ่น ด้านนายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานบริหาร บริษัท เอเซียพรีซิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท เริ่มดำเนินกิจการเมื่อปี 2538 ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อผลิตชิ้นส่วนโลหะความเที่ยงตรงสูง สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ในปี 2553 ที่ผานมา บมจ.เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) มีทุนชำระแล้ว 225 ล้านบาท ยอดขาย 907 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 142 ล้านบาท จากการผลิตชิ้นส่วนโลหะความเที่ยงตรงสูง สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ กล้องดิจิตอล และคอมเพรสเซอร์ ทั้งนี้บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายนปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการซื้อเครื่องจักร ก่อสร้างโรงงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ สำหรับในครึ่งปีหลังของปี 2554 นี้บริษัทมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในภาพรวมหลังจากฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำเข้าหลักของชิ้นส่วนยานยนต์ จะฟื้นตัวและการผลิตรถยนต์ของค่ายต่างๆจะเข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้บริษัทยังเล็งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของอีโคคาร์ซึ่งจะส่งผลดีเพิ่มเติมต่อความต้องการชิ ้นส่วนยานยนต์ของบริษัท

ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/AboutUs/CompanyNews/Pages/news300811_A7514961.aspx ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2554

วิเคราะห์ นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) จาก 22% ในปี 2553 เป็น 25% ในปี 2554 ส่วนแบ่งตลาดจาก 15% เป็น 16% ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าเจาะตลาด (Market Penetration) กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มจาก 79% ในสิ้นปี 2553 เป็น 84%

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แสนสิริ จับมือ กสิกรไทย จัดแคมเปญ “กู้เต็ม แมกซ์” คอนโดพร้อมอยู่ “บลอคส์ 77”


นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) พร้อมด้วยนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ขวา) ร่วมมือจัดแคมเปญ “กู้เต็มแมกซ์” เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ “บลอคส์ 77” ได้ง่ายขึ้น มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษด้วยการให้สินเชื่อ 100% และผ่อนเบาๆ ด้วยดอกเบี้ย0% พร้อมพบกับห้องตกแต่งใหม่หลากสไตล์ใน 14 ยูนิตพิเศษภายใต้คอนเซ็ปต์ “Blending Nature” ได้ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.นี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1685

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่23 สิงหาคม 2554

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กับธนาคารกสิกรไทย ร่วมมือจัดแคมเปญ “กู้เต็มแมกซ์” เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษด้วยการให้สินเชื่อ 100% และผ่อนเบาๆ ด้วยดอกเบี้ย0%

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยให้ลูกค้า i-KooL เล่นเน็ต 3G ฟรีได้ 3เท่า เพียงเติม data ผ่าน K-Mobile Banking PLUS


นายอาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ นายสุรช ล่ำซำ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่เติมเงิน Data i-KooL Real 3G (SIM Data) ราคา 100 บาท ผ่าน K-Mobile Banking PLUS (บริการธนาคารทางโทรศัพท์มือถือกสิกรไทย) รับเน็ต 3G เพิ่ม 3 เท่า จาก 250 MB เป็น 750 MB และเติม Data 100 บาท ครบ 3 ครั้ง รับบัตรกำนัล Big C มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันนี้ - 15 ก.ย. 54 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0 2888 8888 กด 03

ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2554

ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่เติมเงิน Data i-KooL Real 3G (SIM Data) ผ่าน K-Mobile Banking PLUS รับเน็ต 3G เพิ่ม 3 เท่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

KBank จับมือ AP เงินต้นปีแรก = 0 บาท


ธนาคารกสิกรไทยจับมือบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ 8 โครงการในเครือ AP ด้วยแคมเปญ “Key Privilege by AP” กุญแจแห่งเอกสิทธิ์สูงสุด 8 ข้อเสนอที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ เงินต้นปีแรก = 0 บาท หรือดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ซึ่งเป็นการช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก พร้อมข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ รวมมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-08-22/ee401ad0e09a92639bbd77b9eaae122a/ (22 สิงหาคม 2554)

ธนาคารกสิกรไทยจับมือบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ เงินต้นปีแรก = 0 บาท หรือดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ซึ่งเป็นการช่วย ลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยสนับสนุนรอยัล ปอร์ซเลน ส่งออก


นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมการ บริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามสนับสนุนทางการเงิน ประมาณ 350 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจผลิตเซรามิกชุดภาชนะบนโต๊ะอาหารเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ ณ โรงแรมเรเนซองส์ เมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา : http://www.newswit.com/fin/2011-08-19/ff231776dc972c2cc51f475c93f1a92e/ (19 ส.ค. 2554)

ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามสนับสนุนทางการเงิน  เพื่อใช้ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจผลิตเซรามิกชุดภาชนะบนโต๊ะอาหารเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย ชวนมอบเพชรเป็นของขวัญวันแม่ พร้อมแบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน


นางวิจิตรา รัตนากร (ขวา) รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดบัตรเครดิต ธนาคารกสิกรไทย และนางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ร่วมเปิดตัวเพชรยูบิลลี่ ชุดพิเศษ “ฟลอรัล เอ็กซ์เซลเล็นซ์” (Floral Excellence) สุดยอดเครื่องประดับสำหรับเป็นของขวัญวันแม่ ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตกสิกรไทย แบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน พร้อมรับคะแนนสะสม 3 เท่า ตั้งแต่วันนี้-30 ก.ย. 54 โดยรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันจันทร์ 8 สิงหาคม 2554

สรุป ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับบริษัทยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ จำกัด เปิดตัวเพชรยูบิลลี่สำหรับเป็นของขวัญวันแม่ ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตกสิกรไทย แบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือน พร้อมรับคะแนนสะสม 3 เท่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยออกเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด เพื่อธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ให้วงเงินสูงถึง 140 ล้าน

การค้าระหว่างประเทศเบ่งบาน กสิกรไทยโดดหนุน ออกสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ให้ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก มีเงินทุนหมุนเวียน และขยายธุรกิจครบวงจร ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 140 ล้านบาท ตั้งเป้าปล่อยกู้สิ้นปี 5,000 ล้านบาท
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยให้ความสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออกมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 5 เดือนแรก ธุรกิจเอสเอ็มอีมีการนำเข้าเพิ่ม 13% และมีการส่งออกเพิ่มถึง 17.26% ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความต้องการเงินทุนในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการมากขึ้น
ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทย จึงออกบริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ประกอบด้วย
วงเงินที่ใช้ผลิตสินค้าก่อนการส่งออก ได้แก่ วงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance Credit) วงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) รวมถึงวงเงินสินเชื่อเพื่อดำเนินธุรกิจภายในประเทศ ได้แก่ เงินกู้เพื่อการพาณิชย์ (Loan), วงเงินสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี (O/D), ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N), วงเงินหนังสือค้ำประกัน (L/I)
วงเงินที่ใช้หลังการส่งออก ได้แก่ วงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศหลังการส่งออก เช่นPacking Credit, Bill Discount สินเชื่อแฟคเตอริ่งกสิกรไทย (K-Factoring) ที่สามารถเปลี่ยน Invoice ลูกหนี้การค้าให้เป็นเงินสดได้ และบริการสินเชื่อเพื่อการขายลดเช็คกสิกรไทย (K-Cheque 2 Cash) ที่สามารถเปลี่ยนเช็คให้เป็นเงินสดได้ในทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจและช่วยบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด เป็นการนำผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อและบริการทางการเงินต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจการนำเข้า-ส่งออก และเงินทุนเพื่อดำเนินธุรกิจมารวมไว้ด้วยกันอย่างครบวงจร มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกมียอดขาย 50-400 ล้านบาทต่อปี โดยธนาคารฯ จะให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 140 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินไปบริหารกิจการ รวมถึงเสริมสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าปล่อยกู้สินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด สิ้นปีนี้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด ได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา และศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ K-BIZ Contact Center โทร. 02-888-8822
นายปกรณ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะกับกลุ่มประเทศในอาเซียน และคู่ค้าอื่น ๆ จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแนวโน้มของระบบการค้าใหม่ของโลก ซึ่งจะยิ่งช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ดังนั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรมองหาโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากตลาดส่งออกมีขนาดที่ใหญ่กว่าตลาดในประเทศมาก การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจะเป็นการขยายธุรกิจ และลดความเสี่ยงทางการตลาดได้มาก ในขณะที่ผู้นำเข้าก็มีโอกาสมองหาแหล่งวัตถุดิบและสินค้าที่มีต้นทุนที่เหมาะสมเพื่อนำมาทำการตลาดในประเทศได้ ดังนั้นการมีความพร้อมด้านเงินทุนและการจัดการจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน และสามารถแข่งขันกับตลาดนานาชาติได้
ที่มา :  http://www.newswit.com/fin/2011-08-09/97bbf07984c7c147538e206a78cc4e15/ (วันที่ 9 สิงหาคม 2554)
สรุป 
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยให้ความสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออกมากขึ้น  ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความต้องการเงินทุนในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการมากขึ้น  ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทย จึงออกบริการสินเชื่อเอสเอ็มอี ซูเปอร์เทรด (SME Super Trade) ขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ประกอบด้วยวงเงินที่ใช้ผลิตสินค้าก่อนการส่งออก  และวงเงินที่ใช้หลังการส่งออก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

KBANK มองปัญหาสหรัฐไม่กระทบโดยตรงต่อไทย ตลาดเงิน-ตลาดทุนผันผวนราว 1 เดือน

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหรัฐขณะนี้ มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะมีเหตุการณ์ความผันผวนตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐที่มีต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกน่าจะคลี่คลายลงภายใน 1 เดือนข้างหน้า หลังจากเห็นความชัดเจน ทั้งนี้ มองว่าปัญหาในสหรัฐอาจทำให้มีการลดการถือครองสินทรัพย์เป็นรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลง โดยจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
"การที่ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง เนื่องมาจากความตื่นตระหนก ทำให้คนจิตใจวูบวาบ เพราะถือว่าเป็นการสะดุดครั้งใหญ่ของตลาดการเงินโลก เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้คนตื่นตระหนก เรื่องแบบนี้ต้องรออีกสักพัก ถึงจะเห็นความชัดเจน"นายบัณฑูร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาของสหรัฐอาจจะเกิดผลกระทบทางอ้อมต่อไทย ทั้งในแง่การค้าขาย ผลกระทบต่อค่าเงินบาท ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ ทำให้เงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น แต่ขณะนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังไมกระทบการส่งออก และยังไม่ถึงจุดที่เป็นประเด็นปัญหา ขณะที่อีกด้านหนึ่งเงินบาทแข็งค่ามีผลดีในแง่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อ เช่น ทำให้การนำเข้าน้ำมันถูกลง เป็นต้น
นายบัณฑูร กล่าวถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยว่า ไม่มีการตัดสินว่าเป็นเพศไหนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และขอให้คัดเลือกคนดีมาบริหารประเทศ ทุกคนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ

ที่มา : http://www.ryt9.com/  (จันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2554)  

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยปันผล3กองทุนหุ้นกว่า300ล้าน


บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผลกองทุนหุ้น 3 กอง กว่า 300 ล้านบาทโชว์ Dividend Yield สูงชนะตลาด แนะผู้ลงทุนถือกองปันผลรับผลตอบแทนระหว่างทาง
      นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 2.00 บาท ต่อหน่วย และ 1.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 สิงหาคม นี้
"ทั้ง 3 กองทุน ถือว่ามีผลการดำเนินงานที่โดนเด่นมาก ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล (Dividend Yield) โดยเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 3.45% ในขณะที่กองทุน RKF2 RKF4 และ K-VALUEมี Dividend Yield สูงถึง 15.40 % 12.94% และ 5.87% ตามลำดับ อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังมีประวัติการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับครั้งล่าสุดจ่ายปันผลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 โดยกองทุน RKF2 จ่ายปันผลมาแล้ว 20 ครั้ง รวม 15.94 บาท RKF4 จ่ายปันผลมาแล้ว 14 ครั้ง รวม 6.69 บาท และ K-VALUE จ่ายปันผลทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวม 6.67 บาท"
การที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือไม่มีความชำนาญเพียงพอที่จะจับจังหวะการขายคืนด้วยตนเอง ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร ดังนั้นหากลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ก็เท่ากับช่วยล็อกผลกำไรส่วนหนึ่งออกมาระหว่างทางที่ลงทุนนั่นเอง

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 3 สิงหาคม  2554 http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110803/403124/กสิกรไทยปันผล3กองทุนหุ้นกว่า300ล้าน.html

สรุปข่าว  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 2.00 บาท ต่อหน่วย และ 1.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 สิงหาคม นี้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยคาดยอดส่งออกรถยนต์ปีนี้8.9-9.3แสนคัน/ผลิตในปท.แตะ1.8ล้านคัน


            กสิกรไทยคาดยอดส่งออกรถยนต์ปีนี้8.9-9.3แสนคัน/ผลิตในปท.แตะ1.8ล้านคัน
      
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์"แม้ปัญหาชิ้นส่วนคลี่คลาย แต่ส่งออกรถปี 54 อาจขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยจากปี 53" ระบุว่า จากตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่า แม้การส่งออกในช่วงไตรมาสแรกจะขยายตัวร้อยละ 8.2 ตามทิศทางการขยายตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าหลัก

       ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 การส่งออกรถยนต์ของไทยต้องเผชิญกับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตรถยนต์ ทำให้ค่ายรถยนต์หลายค่ายต้องตัดสินใจลดกำลังการผลิตลง ส่งผลต่อรถยนต์ที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าที่ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้การส่งออกไตรมาสที่ 2 หดตัวสูงถึงร้อยละ 24.6 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกหลังจากขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตลอดช่วง 1 ปีกว่า
และแม้ว่าปัญหาชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงมากเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3 แต่การหดตัวอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 2
สถิติการส่งออกรถยนต์ที่ออกมาล่าสุดพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ไทยได้มีการส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศ 386,410 คัน หดตัวจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึงร้อยละ 7.6 (YoY) ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 ทำไว้ได้ 418,178 คัน โดยถ้าคิดเป็นรายเดือนแล้วจะยิ่งเห็นได้ชัดว่า เดือนที่การส่งออกรถยนต์ของไทยมีทิศทางหดตัวนั้น เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนและต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะการหดตัวที่รุนแรงถึงร้อยละ 48.5 ในเดือนพฤษภาคมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดส่งออกโดยรวมครึ่งปีแรกนั้นหดตัวลง

     ซึ่งสาเหตุสำคัญของการหดตัวคงจะหนีไม่พ้นปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนรวมกันสูงกว่าร้อยละ 90 ของการผลิตรถยนต์ในประเทศของไทย เป็นกลุ่มที่ได้รับกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งค่ายรถที่มีนโยบายการสต๊อกวัตถุดิบคงคลังน้อย และจำเป็นต้องพึ่งชิ้นส่วนสำคัญจากญี่ปุ่น เช่น ชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่หาทดแทนได้ยาก เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

alt

















อนึ่ง เมื่อพิจารณาจากสถิติมูลค่าการส่งออกที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้การส่งออกรถยนต์นั่งของไทยมีมูลค่า 3,185.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวลงร้อยละ 2.0 (YoY) ส่วนการส่งออกรถแวนและปิกอัพมีมูลค่า 2,451.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 (YoY)


โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกรถยนต์ส่วนใหญ่ไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักมีการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนอย่างต่อเนื่องเกือบตลอด และเริ่มมีทิศทางหดตัวตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่การผลิตรถยนต์ของไทยเริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน ซึ่งบางประเทศเริ่มมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังจากผู้ผลิตค่ายต่างๆเริ่มได้รับการส่งมอบชิ้นส่วนคืนสู่ระดับปกติ โดยตลาดที่ประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการขาดแคลนชิ้นส่วน และเริ่มฟื้นตัวกลับมาในเดือนมิถุนายน เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่ระดับขึ้นไปเท่ากับก่อนเหตุการณ์ภัยพิบัติ


มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
alt
การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
alt
















ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้การส่งออกรถยนต์ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศผู้นำเข้าหลักบางประเทศเองก็ประสบปัญหาภายในประเทศของตน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง เป็นต้น ซึ่งส่งผลทำให้ปริมาณการนำเข้ารถยนต์ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา


ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงและคาดว่าอาจจะส่งผลทำให้การส่งออกรถยนต์ในช่วงครึ่งหลังไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงไปมากแล้วก็ตาม โดยตลาดที่การส่งออกมีสัญญาณเริ่มเป็นปัญหามาตั้งแต่ก่อนหน้าเหตุการณ์ภัยพิบัติแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย และซาอุดิอาระบีย ทั้งนี้สืบเนื่องจากปัญหาภายในประเทศของแต่ละประเทศ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาจากภัยธรรมชาติ และปัญหาจากความวุ่นวายทางการเมือง เป็นต้น

มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว


alt














ที่มา: กระทรวงพาณิชย์

การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว

alt















ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

การส่งออกรถยนต์ครึ่งหลังไปบางตลาดอาจยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันอยู่

จากที่ได้กล่าวถึงในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ช่วงที่ผ่านมาการส่งออกหดตัวลง ซึ่งการที่ปัญหามีทิศทางที่คลี่คลายลงมากนี้ ย่อมจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการส่งออกในช่วงต่อจากนี้ไป ทว่า การส่งออกไปยังบางตลาดอาจยังต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันอยู่ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ปริมาณรถยนต์ส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับเท่ากับในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยกดดันเหล่านี้ได้แก่

• ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งกระทบต่อภาคการผลิต โดยเฉพาะเพื่อการส่งออก และการท่องเที่ยว ประกอบกับขณะนี้ทิศทางเฟ้อในหลายประเทศก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาก ประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าหลักของไทยก็ต้องประสบกับปัญหาดังกล่าว ทั้งจากปัญหาภัยธรรมชาติในประเทศ และการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยออสเตรเลียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดร้อยละ 1.75 ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ปี 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2553 และยืนระดับดอกเบี้ยดังกล่าวที่สูงถึงร้อยละ 4.75 จนถึงปัจจุบัน ทำให้กิจกรรมการผลิตและความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมาลดลง ทั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันทิศทางเศรษฐกิจในประเทศออสเตรเลียจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังอาจจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยจะไม่สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
• ผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์บางส่วนไปยังตะวันออกกลาง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศในแถบนั้น แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นและรักษาระดับสูงอยู่ แต่ความวุ่นวายดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตน้ำมันด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวที่ยังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้อีก ประกอบกับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยืดเยื้อ ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยในกลุ่มประเทศนี้ โดยเฉพาะ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาจได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยอาจไม่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ปัญหาชิ้นส่วนจะคลี่คลายลงไปมากแล้วก็ตาม

นอกเหนือจากปัจจัยกดดันการส่งออกดังกล่าวแล้ว ฐานการส่งออกที่สูงในปีที่แล้วซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 59 (YoY) รวมถึงการที่ค่ายรถยนต์ต่างมุ่งรักษาฐานตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการขยายตัวสูงก่อน เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลทำให้การส่งออกรถยนต์ในช่วงครึ่งหลัง แม้จะมีปริมาณการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกพอสมควรจากกำลังการผลิตที่เริ่มฟื้นกลับคืนสู่ระดับปกติมากขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจทำให้การส่งออกรถยนต์ทั้งปี 54 ขยับขึ้นไปสู่ระดับที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 1 ล้านคัน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกช่วงครึ่งหลังของปี 2554 อาจทำได้สูงถึงประมาณ 505,000 ถึง 540,000 หรือขยายตัวขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรกที่ทำไว้ 386,410 คัน ถึงกว่าร้อยละ 30 ถึง 40 ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2554 นี้ การส่งออกรถยนต์ของไทยอาจทำได้ใกล้เคียงกับจำนวน 896,065 คัน ที่เคยทำไว้ในปี 2553 โดยมีจำนวน 890,000 ถึง 930,000 คัน หรือหดตัวร้อยละ 1 ถึงขยายตัวร้อยละ 4 (YoY)

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิมพ์ฐานเศรฐกิจ วันพุธที่ 03 สิงหาคม 2011 http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=77600&catid=176&Itemid=524



สรุปข่าว

ปัจจัยลบจากปัญหาในประเทศนำเข้ารถยนต์ของไทยบางประเทศที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาบางประการในประเทศตน ทำให้การนำเข้ารถยนต์ยังคงชะลอลง ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2554 ลดลงกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดไว้ในช่วงต้นปีว่ามีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านคันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
     การส่งออกรถยนต์ครึ่งแรกปี 54 หดตัวร้อยละ 7.6 จากผลกระทบปัญหาชิ้นส่วนเป็นหลัก
ปัจจัยลบจากปัญหาในประเทศนำเข้ารถยนต์ของไทยบางประเทศที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาบางประการในประเทศตน ทำให้การนำเข้ารถยนต์ยังคงชะลอลง ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2554 ลดลงกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดไว้ในช่วงต้นปีว่ามีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านคันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
- การส่งออกรถยนต์ครึ่งแรกปี 54 หดตัวร้อยละ 7.6 จากผลกระทบปัญหาชิ้นส่วนเป็นหลัก
- มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง
- การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่มีโอกาสฟื้น  
   ตัวสูง
- การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่ง รถแวนและปิกอัพไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักที่ยังมีโอกาสชะลอตัว
-  การส่งออกรถยนต์ครึ่งหลังไปบางตลาดอาจยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันอยู่
        การส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่สูงนัก แต่ก็คาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้มีโอกาสสูงที่จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.8 ล้านคัน ตามที่หลายฝ่ายมีการคาดการณ์กัน จากปริมาณยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามีโอกาสขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 10 ถึง 15 (YoY) หรือคิดเป็นจำนวน 880,000 ถึง 920,000 คัน เพิ่มขึ้นจากที่เคยทำได้ 800,357 คัน ในปีที่แล้ว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับความนิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ออกมา อย่างไรก็ตามตลาดในประเทศยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้อีกจากระดับปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่จะออกมาซึ่งอาจจะส่งผลกระทบได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบต่อตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ เช่น นโยบายเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตร นโยบายการปรับขึ้นเงินเดือน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขณะที่นโยบายรถยนต์คันแรก อาจจะทำให้เกิดการชะลอการซื้อรถได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทย-กรุงเทพปล่อยกู้โซลาร์ต้า3.3พันลบ.สร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์



กสิกรไทย-กรุงเทพปล่อยกู้โซลาร์ต้า3.3พันลบ.สร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
กสิกรไทยร่วมกับแบงก์กรุงเทพ สนับสนุน โซลาร์ต้า สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก วงเงินกู้ 3,300 ล้านบาท บนพื้นที่ภาคกลางของประเทศใกล้จุดศูนย์กลางการขนส่ง จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ภายในสิ้นปี 2554 นี้

                     นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่เป็นแหล่งพลังงานยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมทั้งภาคเอกชนของไทยก็ให้ความสำคัญและเล็งเห็นประโยชน์ในการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้รับความสนใจจากอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด ธนาคารละ 1,650 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 3,300 ล้านบาท
    ด้านนายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยันฮี โซล่า เพาเวอร์ จำกัด และโรงพยาบาลยันฮี กล่าวว่า โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 8 โครงการ มีขนาดกำลังผลิตรวม 34.25 MW โดยมีบริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เป็นผู้พัฒนาและดำเนินโครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม โดยเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ด้วยเงินลงทุนกว่า 4,400 ล้านบาท ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไทรเสนา ขนาด 3 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดอยุธยาได้เดินเครื่องผลิตและขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แล้วเมื่อเมษายน 2554 ที่ผ่านมา ส่วนอีก 7 โครงการที่เหลือคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ภายในปีนี้
     นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นโครงการพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,000 ตันต่อปี แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลและลดการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 7,400 บาร์เรลต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดให้พลังงานทดแทนเป็นธุรกิจหลัก มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ได้ถึง 100 เมกะวัตต์ ในปี 2559 ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ และยังเป็นการกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาวให้แก่ประเทศอีกด้วย
     ทั้งนี้ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เป็นบ.ร่วมทุนที่มีผู้ถือหุ้นที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ โดยโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 8 โครงการดังกล่าวมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมากที่ใช้พลังงานทดแทนกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และได้รับเงินสนับสนุน (Adder) จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า จำนวน 8 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นเวลา 10 ปี

ภาพ: นายปรีดี ดาวฉาย (ขวาสุด) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย และนายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู (ซ้ายสุด) รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมแสดงความยินดีถึงความสำเร็จในการจัดสรรเงินกู้จำนวน 3,300 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด โดยมีนายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิ์วณิชชา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลยันฮี นายนพพล มิลินทจินดา (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และนายบุญชัย เลิศถาวรธรรม (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

แหล่งข้อมูล  หนังสือพิมพ์ฐานธุรกิจ  วันพุธที่ 03 สิงหาคม 2011 http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=77595:-33&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524

สรุปข่าว  กสิกรไทยร่วมกับแบงก์กรุงเทพ สนับสนุน โซลาร์ต้า สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก วงเงินกู้ 3,300 ล้านบาท บนพื้นที่ภาคกลางของประเทศใกล้จุดศูนย์กลางการขนส่ง จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ภายในสิ้นปี 2554 นี้ปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่เป็นแหล่งพลังงานยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมทั้งภาคเอกชนของไทยก็ให้ความสำคัญและเล็งเห็นประโยชน์ในการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้รับความสนใจจากอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด ธนาคารละ 1,650 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 3,300 ล้านบาทโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นโครงการพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,000 ตันต่อปี แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลและลดการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 7,400 บาร์เรลต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดให้พลังงานทดแทนเป็นธุรกิจหลัก มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ได้ถึง 100 เมกะวัตต์ ในปี 2559 ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ และยังเป็นการกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาวให้แก่ประเทศอีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรฯ ผลึก ICBC ขยายธุรกิจไทย – จีน

ASTVผู้จัดการรายวัน- แบงค์กสิกรไทยจับมือ ICBC ร่วมธุรกิจภายใต้วงเงินสนับสนุน 8 พันล้าน เสริมศักยภาพให้ธุรกิจในเครือ ทั้ง ไอซีบีซี (ไทย) ธ.กสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น
                นายบัณฑูร  ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ลงนามสัญญาทางการเงินและความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกัน (Reciprocal Funding Line Agreement) ภายใต้วงเงินสนับสนุน 8,000 ล้านบาท กับธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (Industrial and Commercial Bank of China Limited) หรือ ICBC เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการทางการเงินของสองธนาคารพันธมิตรทั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีนและไทยในด้านความร่วมมือเพื่อสนับสนุนสินเชื่อสำหรับโครงการต่างๆ การปล่อยกู้ร่วมสำหรับโครงการขนาดใหญ่ การโอนและชำระเงินระหว่างประเทศ การแนะนำลูกค้าให้แก่กัน (Business Matching) การแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมในการบริหารธุรกิจระหว่างทั้งสองธนาคาร และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนการพัฒนาเพิ่มทักษะ และฝึกอบรมพนักงานระหว่างกัน อันจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจแก่ทั้งสองฝ่ายในอนาคต
                ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย จะนำวงเงิน reciprocal line ดังกล่าว เป็นเงินทุนสำหรับธนาคารกสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น เพื่อใช้ในการปล่อยกู้ธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศจีน โดยปีนี้ธนาคารฯ มีการตั้งเป้าปล่อยกู้จำนวน 1,200 ล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อในจีนที่มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากกว่า 42 ล้านราย  นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังวางแผนจะยกระดับสาขาเป็นธนาคารพาณิชย์ต่างชาติท้องถิ่น ภายในปี พ.ศ. 2556 ด้วย
สรุป
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด และธนาคาร ICBC (ไอซีบีซี) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินระหว่างกัน ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจแก่ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด ในประเทศไทย และธนาคารกสิกรไทย สาขาเซินเจิ้น เพื่อรองรับการแข่งขันและการพัฒนาบริการทางการเงินของทั้ง 2 ธนาคาร เพราะปัจจุบันตลาดการเงินจีนมีขนาดใหญ่มากและมีโอกาสเติบโตสูง ในขณะที่อุปสงค์สินเชื่อในตลาดมีมากกว่าอุปทานที่ธนาคารพาณิชย์ในจีนจะสามารถให้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะธนาคารชั้นนำที่ชำนาญในเรื่องเอสเอ็มอีของประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดธนาคารพาณิชย์ในจีน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนและไทย

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์  “ผู้จัดการ (iBusiness)
                  ประจำ วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2554  ปีที่ 3  ฉบับที่ 841  (หน้าที่ 23)
ผู้รับผิดชอบ  นางสาวปาริฉัตร   นิลทะวงษ์    รหัส  52112804027

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรไทยจับมือเครือ รพ.กรุงเทพ เปิดบัตรร่วมฯ ดูแลสุขภาพครบวงจร

กรุงเทพฯ--20 ก.ค. 2554--ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย พร้อมตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาท
นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักและใส่ใจในการรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้บริการดูแลด้านสุขภาพกับโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสุด ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เครือข่ายโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของไทย ออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพกาย แต่เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ และได้รับบริการทางการเงินที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งเป็นที่มาของบัตรเครดิตที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้รักสุขภาพ

ด้านนายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้นำเครือข่ายทางการแพทย์อันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยได้ขยายเครือข่ายรวม 17 สาขา ประกอบด้วยกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช** ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการแทบทุกภูมิภาคของไทย การร่วมมือกันทางธุรกิจสำหรับบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งหมายในการพัฒนาความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายที่จะได้รับจากการเป็นผู้ถือบัตร
สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยจะเป็นความร่วมมือในการให้บริการทางการแพทย์และการเงินที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับบริการคุณภาพทั้งการรักษาพยาบาลและการชำระเงิน โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า บัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย ภายใต้แนวคิด “ฝากสุขภาพคุณ...ให้เราดูแล” ได้รวบรวมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อาทิ รับส่วนลดเมื่อใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลฯ ทุกแห่ง พร้อมรับความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินคุ้มครองถึง 100,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 3,000 บาทต่อครั้งแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สิทธิพิเศษทางด้านการเงินจากธนาคารกสิกรไทย สำหรับบริการกู้สินเชื่อบ้านและบริการเงินฝาก รวมถึงสิทธิพิเศษจากร้านค้าพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน สปา ฟิตเนส ร้านอาหาร โรงแรม บริการรถเช่า
นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รสมถึงการจัดสิทธิประโยชน์ได้อย่างครอบคลุม ตรงกับความต้องการจะสามารถเพิ่มความไว้ใจและความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยธนาคารตั้งเป้าหมายของบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ–กสิกรไทยไว้ที่ 50,000 ใบ ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ และคาดหวังว่าจะขยายฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ใบในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าการใช้จ่ายประมาณ 16,000 ล้านบาท
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย ได้ที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ทั้ง 3 กลุ่มโรงพยาบาลและที่สาขาของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0-2888-8888 หรือที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719
วิเคราะห์ข่าว
ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย พร้อมตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาทโดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักในเรื่องสุขภาพมากขึ้น  ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยจะเป็นความร่วมมือในการให้บริการทางการแพทย์และการเงินที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้มาใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับบริการคุณภาพทั้งการรักษาพยาบาลและการชำระเงิน โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน  
นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รสมถึงการจัดสิทธิประโยชน์ได้อย่างครอบคลุม ตรงกับความต้องการจะสามารถเพิ่มความไว้ใจและความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ที่มา http://www.newswit.com/fin/2011-07-20/517d0bce1664836414080cb8431b79bb/ ประจำวันที่ 20 ก.ค. 2554


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กสิกรฯ คาดดอกเบี้ยแตะ 3.75% ส่ง 2 กองตราสารหนี้เกาะกระแส

ASTV ผู้จัดการรายวัน – บลจ.กสิกรไทยคาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 รอบแตะ 3.75% พร้อมแนะลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ล่าสุดส่ง 2 กองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือน และ 1 ปี เอาใจลูกค้า ชูยิลด์ 3.2-3.8% ต่อปี เปิดขายตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กรกฎาคมนี้
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทคาดว่า กนง.อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25-0.50% หลังจากที่มีการปรับขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา จาก 3.00% เป็น 3.25% เพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน บริษัทจึงได้นำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุกองทุนทั้ง 3 เดือน และ 1 ปี โดยถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และปรับขึ้นเป็นช่วงๆ ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีจะปรับขึ้นไปยืนตามที่คาดการณ์กันไว้ที่ 3.50%-3.75% และและธนาคารต่างๆจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก แต่เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในช่วง 1 ปีแล้ว เชื่อว่าการลงทุนในกองทุนนี้ยังสามารถให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากประจำ
สำหรับกองทุนที่จะทำเปิดขายได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน เอเอฟ (KFl3MAF) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เจ (KFF1YJ) ที่จะทำการเปิดขายระหว่างวันที่ 19-25 กรกฎาคม นี้ โดยทั้ง 2 กองทุนที่จะเสนอขายประมาณการโอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.20% ต่อปี และ 3.80% ต่อปี ตามลำดับ คาดว่าจะรองรับเม็ดเงินถึง 20,000 ล้านบาท
สรุป
                เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน บริษัทจึงได้นำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุกองทุนทั้ง 3 เดือน และ 1 ปี โดยถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และปรับขึ้นเป็นช่วงๆ ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีจะปรับขึ้นไปยืนตามที่คาดการณ์กันไว้ที่ 3.50%-3.75%  นอกจากการลงทุนใน 2 กองทุนนี้แล้ว บริษัทยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้แจ้งความประสงค์ที่จะนำเงินลงทุนเริ่มต้นพร้อมผลตอบแทนเมื่อกองทุนครบอายุ ไปซื้อกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) โดยอัตโนมัติ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมภายใต้ความเสี่ยงต่ำ ในระหว่างพักเงินรอจังหวะลงทุนในกองทุนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์  “ผู้จัดการ (iBusiness)
                  ประจำ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554  ปีที่ 3  ฉบับที่ 834  (หน้าที่ 20)
ผู้รับผิดชอบ  นางสาวปาริฉัตร   นิลทะวงษ์    รหัส  52112804027

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS